วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

Interview With Neil Zaza


เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ แอร์เย็นๆ อากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไปทำให้ผมรู้สึกว่างานวันนี้คงจะต้องลุล่วงไปด้วยความสนุกสนานอย่างแน่นอน ผมทำธุระส่วนตัวอย่างไม่เร่งรีบพร้อมกับคิดอย่างละเอียดถึงอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยไม่อยากให้งานดีๆ ต้องมีอะไรผิดพลาด ผมพาตัวเองเดินไปยังที่นัดหมายกับช่างกล้อง เราขนเครื่องมือไปพลาง คุยกันไปพลางถึงผลงานของศิลปินกีตาร์สองท่านที่เรากำลังจะเดินทางไปพบ และเชื่อมั่นว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราคงจะได้ทำบทสัมภาษณ์ที่ดี และได้รู้ถึงมุมมองของศิลปินระดับโลกที่จะมาเปิดการแสดงให้ดูกันแบบฟรีๆ ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนักกับอุตสาหกรรมคอนเสิร์ตสมัยนี้ .. เปล่า ผมไม่ได้แอนตี้คอนเสิร์ตที่ขายบัตรราคาแพงๆ แต่มองในแง่ของความคุ้มค่า ความสนุกสนานคุณผู้ชมทั้งหลายจะตีตั๋วเข้าไปดูกันมากกว่า
           


           เราไปถึง Shining Star Studio กันในเวลาย่างเข้าบ่ายโมง ทางคุณกวงเจ้าของสตูดิโอหรูหราแห่งนี้ต้อนรับเราด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง เราใช้เวลารอคอยไม่นานก็ได้เห็นสองหนุ่มใหญ่ที่พกพาความมันส์มาฝากแฟนเพลงชาวไทย ผมกำลังพูดถึง Michael Angelo Batio นักกีตาร์สายปั่น (Shredder) และ Neil Zaza นักกีตาร์ที่เล่นกีตาร์ได้พริ้วไหว มีเมโลดี้สวยงาม ทั้งๆ ที่ทั้งคู่เพิ่งเปิดการแสดงในประเทศจีนในวันก่อนหน้าที่จะมาถึงเมืองไทย แต่เขาทั้งคู่ก็ไม่ได้แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยให้เราได้เห็นกันเลย เขาทั้งคู่แย้มยิ้มและพร้อมจะทำงานกับเราอย่างเต็มที่
                 
                   ไปครับ ... ผมจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับ Michael Angelo Batio และ Neil Zaza ให้มากขึ้น เราจะไปคุยกับเขากันในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ และ มุมมองต่อนักกีตาร์รุ่นใหม่ๆ และ ดนตรีในแบบของเขากัน แน่นอนว่าเอ๊กส์คลูซีฟสำหรับแฟนๆ GuitarMAG เท่านั้น



Neil Zaza Inverview:

Me: สวัสดีครับนีล ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง
Neil: ขอบคุณมากๆ ครับ ผมเองก็ยินดีที่ได้กลับมาเล่นที่เมืองไทยอีกครั้งเช่นกัน (ยิ้ม)

Me: ถ้าผมจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วใช่ไหมที่คุณมาเปิดการแสดงที่เมืองไทย?
Neil: ใช่แล้วครับ ผมมาเมืองไทยหนนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว และผมชอบเมืองไทยมากๆ (ยิ้มกว้างขวาง)

Me: ผมเคยมีโอกาสได้ดูคุณเล่นช่วงที่คุณมาเมืองไทยเมื่อปี 2005 สนุกมากๆ
Neil: โอ้ แจ๋วเลยๆ!! ผมก็จำได้ครับ ว่ามันร้อนมากๆ ร้อนมากๆๆๆ จริงๆ ผมไม่เคยไปเล่นที่ไหนที่ร้อนขนาดนั้นเลย ผมคิดว่าผมเกือบๆ จะแห้งตายอยู่แล้ว (หัวเราะ)

Me: เอาหล่ะนีล ผมและผู้อ่านหลายๆ ท่านก็อยากจะทราบว่า ใครเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเลือกที่จะเล่นกีตาร์?
Neil: โอ่ ถามได้ดีมาก ... แต่เริ่มสมัยเป็นเด็ก ผมก็เล่นกีตาร์อคุสติกอยู่แล้วครับ ก็เล่นไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เราเล่นตีคอร์ด ร้องเพลงอะไรแบบนี้ วันหนึ่งผมได้ยินเพลงจากแผ่นเสียงในบ้าน ผมจำได้แม่นๆ เลยว่าเป็นแผ่นของ Van Halen อัลบั้ม Van Halen I (อัลบั้มแรกของคณะ Van Halen) เพลงที่ผมได้ยินตอนนั้นชื่อ “Runnin’ with the Devil” (นีลฮัมริฟฟ์ให้เราได้ฟังกัน) ตอนนั้นเหมือนกับว่าผมได้เห็นนางฟ้ามาชี้ทางสว่างให้ผมเลย และตั้งแต่จุดนั้นผมก็ตั้งใจแน่วแน่เลยครับ ว่าจะเป็นนักกีตาร์ให้ได้ และไม่มีทางอื่นๆ ที่ผมจะเลือกอีกแล้วนอกจากจะเป็นนักกีตาร์อย่างจริงๆ จัง

Me: นีล คุณยังจำได้ไม๊ครับว่า กีตาร์ตัวแรกของคุณ คือกีตาร์อะไร?
Neil: อืมม์ ยังพอจำได้ลางๆ ครับ ผมจำได้ว่าเป็นกีตาร์อคุสติกแบรนด์ชื่อ Roy Rogers ละมั๊ง ผมได้รับเป็นของขวัญวันคริสมาสต์ แต่ต้องขอบอกว่าเป็นกีตาร์ห่วยๆ ตัวนึงนั่นหล่ะครับ แต่ผมแค่อยากจะได้จับกีตาร์ ได้เล่นกีตาร์ เพราะงั้นแล้วไอ่เจ้าอคุสติกตัวนี้จึงเป็นตัวโปรดของผมในตอนนั้น

Me: แล้วเพลงแรงที่คุณหัดเล่นคือเพลงอะไรครับ? ใช่ Runnin’ with the Devil หรือเปล่า?
Neil: ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ใช่ครับ อันนั้นก็คงจะยากเกินสำหรับเด็กเพิ่งหัดเล่น ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นริฟฟ์เพลงร๊อคเท่ห์ๆ ทั่วๆ ไปในยุคนั้น น่าจะเป็น Smoke On The Water ของ Deep Purple มากกว่า

Me: หลายๆ คนที่ติดตามผลงานของคุณมักจะให้ความเห็นคล้ายๆ กันว่างานของคุณมีโมโลดี้สวยงาม และ มีความเป็นเพลงมากๆ และที่สำคัญพวกเทคนิคการคิดเมโลดี้ละม้ายกับ Eric Johnson มากๆ เขามีอิทธิพลกับคุณมากน้อยแค่ไหนครับ?
Neil: โอ้ ผมเป็นแฟนเพลงตัวยงของ Eric ครับ เขาเป็นนักกีตาร์ที่เก่งมากๆ จริงๆ ผมคงไม่สามารถเอาตัวเองไปเทียบกับนักกีตาร์ระดับเขาได้เลย แต่ว่าอันที่จริงแล้ว งานเพลงของผมที่มีเมโลดี้สวยๆ มีความเป็นเพลงสูงเนี่ย อิทธิพลส่วนใหญ่จะมาจาก Neal Schon จากวง Journey ถ้าหากคุณเคยฟังงานของ Neal มาบ้างคุณคงพอจะเข้าใจวิธีคิดงานของเขา ถ้าคุณฟังเพลงของ Journey หล่ะก็ คุณจะสามารถฮัมกีตาร์โซโลได้เลย มันสวยงามขนาดนั้น มันเหมือนกับว่าโซโลของ Neal Schon เป็นเพลงสั้นๆ ที่อยู่ในเพลงอีกที ดังนั้นถ้าหากพูดถึงผู้ที่มีอิทธิพลกับผมในแง่นั้นคงเป็น Neal Schon มากกว่า แต่สิ่งที่ผู้คนพูดถึงผมกับ Eric Johnson ผมขอถือว่าเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่มากเลยหล่ะครับ ขอบคุณมากๆ

Me: เวลาผมฟังงานผ่านๆ หูจากแผ่นหรืออะไรก็ตาม ถ้าเป็นเพลงของคุณแล้ว ผมจะสามารถจำเสียงกีตาร์ของคุณได้ทันทีคุณมีวิธีไหนหรือมีอะไรเป็นเคล็ดลับในการที่จะทำให้เสียงกีตาร์ที่คุณเล่นนั้นบ่งบอกได้เลยว่าเป็นซาวด์แบบของคุณ?
Neil: ขอบคุณมากครับ จริงๆ แล้วคุณรู้ไหมว่านี่เป็นความลับที่นักกีตาร์ทุกๆ คนพยายามจะมองหา จริงๆ แล้วความลับทั้งหมดอยู่ที่นี่ครับ (ยกมือสองมือขึ้นมาให้เราดู) อยู่ที่นิ้วของคุณนั่นหล่ะ คุณอาจจะพยายามหาแอมป์ เอฟเฟคต์ หรือ กีตาร์ที่ไม่ว่าผม หรือ ไมเคิล (แองเจลโล่) ใช้ แต่ก็ยังไม่ได้ซาวด์ที่เป็นแบบผม หรือ ไมเคิล ก็เพราะว่านิ้วนี่แหละครับ แต่อุปกรณ์ก็เป็นส่วนสำคัญในเวลาเล่น ยกตัวอย่างว่าเวลาที่ผมเล่น Tapping เยอะๆ เร็วๆ ผมอาจจะ Boost ด้วย Overdrive เพิ่มเข้าไปเพื่อให้ได้ Sustain ที่มากขึ้น และโดยปรกติผมเป็นคนชอบซาวด์โน๊ตกลมๆ และผมเป็นคนชอบเล่น Gain เยอะๆ ครับ ดังนั้นเวลาที่ผมเซ็ตแอมป์ ผมจะเปิด Gain ให้พอสำหรับที่ผมเล่น Rhythm ได้ และ Boost ด้วย Overdrive เมื่อผมเล่น Lead ก็ง่ายๆ แบบนั้นเองครับ

Me: หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของคุณเลยคือการเขียนเพลงที่มีโมโลดี้ หรือ ริฟฟ์ที่สวยงามมากๆ คุณมีวิธียังไงครับที่จะคิด หรือ พัฒนาเมโลดี้ หรือ ริฟฟ์ออกมาได้ขนาดนั้น?
Neil: ขอบคุณมากๆ ครับ ผมต้องต่อสู้กับการเขียนเพลง เขียนริฟฟ์แบบนี้ตลอดเวลาครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ผมกำลังทำอัลบั้มใหม่อยู่ ก็เลยเจอเรื่องแบบนี้แทบจะทุกวัน บางครั้งวิธีที่ง่ายที่สุดของผมก็คือการหยุดเล่นกีตาร์ วางมันลงแล้วก็เริ่มฮัมเมโลดี้ออกมาจนกว่าจะเจอสิ่งที่เราชอบ (ฮัมลั่นล๊าๆ ให้เราได้ยิน) เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ แบบนี้ และพยายามทำอะไรให้นอกเหนือจากการที่เราเล่นกีตาร์ วิธีนี้ เราจะได้ไอเดียที่สดใหม่ที่ไม่เหมือนกับการแต่งเพลงกับกีตาร์ และสิ่งสำคัญของการเขียนเพลงโดยวิธีนี้ สำหรับผมแล้วมันเหมือนกับการสร้างทำนองโดยแนวคิดแบบการใช้เสียงร้อง เปรียบเหมือนว่าคุณกำลังร้องเพลงให้คนดูฟัง ดังนั้นความเป็นเมโลดิกมีมากกว่าแน่นอน

Me: เหมือนกับว่าคุณต้องการแต่งเพลงในแบบเพลงที่เป็นเพลงที่มีโมโลดี้ในการร้อง? ไม่ใช่แต่งแบบเพลงบรรเลงกีตาร์ ประมาณนั้นหรือเปล่าครับ?
Neil: เยี่ยมครับ ใช่เลย ผมหมายถึงแบบนั้นแหละครับ ผมพูดอยู่เสมอๆ เลยครับว่าเวลาที่ผมแต่งเพลงซักเพลงหนึ่งผมจะคิดเหมือนนักดนตรีนักแต่งเพลงคนหนึ่ง และเวลาที่ผมเล่นโซโลในเพลง ผมจึงจะวางตัวเองเป็นนักกีตาร์ วิธีนี้เพลงที่ผมทำก็จะเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบเพลงนึงโดยมีเสียงกีตาร์โซโลเป็นเพลงสั้นๆ ซ่อนอยู่อีกที ที่สำคัญอย่างยิ่งผมจะไม่คิดเลยว่าท่อนนี้ต้องเล่นยากๆ ท่อนนี้ต้องเทคนิคเยอะๆ และนั่น เป็นวิธีที่จะทำให้เพลงฟังน่าสนใจขึ้นและไม่น่าเบื่อด้วยครับ

Me: คำถามนี้เป็นคำถามที่มีนักกีตาร์ในเมืองไทยหลายๆ คนอยากทราบ คือนีล คุณเป็นคนที่เขียนริฟฟ์ได้สวยงามมากๆ คนนึง มีใครไหมครับที่มีอิทธิพลกับคุณถ้าหากพูดถึงเรื่องการเขียนริฟฟ์?
Neil: น่าจะเป็น Eddie Van Halen ครับ ชัดเจนมากๆ Eddie เป็นคนที่เขียนริฟฟ์ได้ดีมากๆ ผมฟังงานเขาเยอะแยะแล้วก็พบสิ่งใหม่ๆ จากการฟังงานเขาทุกๆ ครั้ง ฉะนั้นแน่นอนเลยเวลาพูดถึงริฟฟ์ผมนึกถึง Eddie เป็นคนแรก แต่เวลาที่ผมจะแต่งเพลงในอัลบั้มตัวเอง ผมพยายามที่จะไม่ฟังแผ่นของใครเลยนะ เพราะผมอยากให้ริฟฟ์ที่คิดออกมาจากตัวผมให้มากที่สุด

Me: สำหรับคุณแล้ว มันแตกต่างกันไหมครับ ระหว่างเล่นกับวง และ แบ๊กกิ้งแทรค? แล้วคุณอยากจะแนะนำให้นักกีตาร์ที่กำลังฝึกฝนเล่นแบบไหนมากกว่ากัน?
Neil: เล่นกับวงสิครับ แน่นอนเลย (หน้าตาซีเรียส) มันสนุกมากๆ เวลาเล่นกับวง มันเหมือนเราได้ติดต่อสื่อสารกันและกันด้วยกีตาร์ เบส หรือ เครื่องมืออื่นๆ ทำให้เราได้ปล่อยไอเดียที่สดใหม่ และได้แลกคำพูดกันด้วยการเล่นดนตรีด้วยกัน การเล่นกับแบ๊กกิ้งแทรกเป็นการฝึกฝนที่ดีครับ แต่คุณต้องเล่นกับวงถึงจะสนุก และนั่นเป็นสิ่งที่นักดนตรีความจะนึกถึง ความสนุกสนานในการเล่น

Me: สำหรับนักกีตาร์ในระดับของคุณแล้ว จริงๆ ผมไม่ควรจะถามคำถามนี้ แต่ว่าคุณเคยมีโชว์ไหนไหมครับที่คุณรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมวันนี้เราเล่นแย่จัง?
Neil: (ถอนหายใจ) โอ่ เยอะแยะไปหมดเลยครับ (หัวเราะ) แต่ผมว่านั่นเป็นเสน่ห์ และ ความงดงามของการเล่นสดนะครับ แต่คุณไม่มีทางจะเดาได้เลยว่าแต่ละโชว์จะออกไปทางไหน บางครั้งผมต้องเล่นหลังจากที่ผมคุยกับใครสักคนทางโทรศัพท์แล้วรู้สึกแย่ หรือ เวลาที่ผมอยากดื่มโค้ก แต่ดันมีแต่เป๊ปซี่ เราเดาไม่ได้เลย บางครั้งผมรู้สึกดีมากๆ แต่พอขึ้นเวทีแล้วผมกลับรู้สึกว่าเล่นไม่ออกก็มี มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเหนื่อยมากๆ ป่วยอีกต่างหาก แต่รู้สึกว่าจำใจจะต้องขึ้นเล่น แต่กลับเป็นวันที่ผมเล่นได้แบบดีมากๆ เรื่องพวกนี้คุณเดาไม่ได้เลยครับ ผมจะรู้ก็ต่อเมื่อผมเล่นโน๊ตแรกออกไปแล้วว่าโชว์นั้นจะออกมายังไง แต่เชื่อผมเถอะว่าแฟนๆ มีส่วนมากๆ ถ้าพวกเขามีอารมณ์ร่วมสุดๆ กับผม ผมเต็มที่แน่นอน

Me: เรามาคุยกันเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือของคุณสักหน่อยดีไหมครับ? เครื่องมือชิ้นไหนใน Rig ของคุณที่คุณชอบที่สุด?
Neil: หลักๆ เลยก็คงต้องเป็นกีตาร์ก่อนครับ เพราะเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับตัวผมมากที่สุด และแน่นอนเลยคือขอให้แอมป์ดีไว้ก่อน ส่วนเอฟเฟกต์ต่างๆ สำหรับผมแล้วก็จะเหมือนกับเครื่องมือปรุงแต่งให้เสียงน่าฟังขึ้น แต่ผมสามารถเอาตัวรอดได้ถ้าไม่มีเอฟเฟกต์ให้ผมใช้ ขอแค่กีตาร์ที่เล่นเข้ามือ และ แอมป์แจ๋วๆ สักตัว

Me: เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับว่าเครื่องมือต่างๆ ที่คุณใช้ในสตูดิโอ กับ เล่นสด นั้นต่างกันมากน้อยแค่ไหน?
Neil: ครับ ได้เลยครับ ส่วนใหญ่แล้วในสตูดิโอผมจะใช้กีตาร์ของผมสองสามตัว หลักๆ ก็คงจะเป็น Music Man ตัวที่ผมเอามาใช้ในโชว์คืนนี้ด้วย (24 กรกฏาคม) และมีแอมป์หลายชนิดเลยครับ หลักๆ ที่ผมใช้ก็จะเป็น Diezel, Bogner Ecstasy หรือ Marshall Plexi เก่าๆ ที่ผมมีอยู่ แต่ว่าในการเล่นสด อยากเช่นการทัวร์เอเชียเนี่ย ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าผมจะมีอะไรให้ใช้บ้าง ผมอาจจะนำเอาเพดัลบอร์ดของผมมาด้วย (ชี้ไปที่เพดัลบอร์ดของเขา) แต่บอร์ดอันนี้ก็ยังไม่ใช่อันที่ผมใช้ประจำนะครับ ที่ผมใช้ประจำนี่เป็นบอร์ดที่ใหญ่กว่านี้มากๆ ต้องมีโรดดี้ช่วยยกหล่ะ ผมยกไม่ไหวหรอก (หัวเราะ)

Me: แล้วบน Pedalboard หลักๆ ที่คุณใช้ประจำที่บ้านหรือทัวร์ใน US/Europe ปรกติคุณมีอะไรบ้างครับ?
Neil: แต่ละทัวร์ก็ต่างๆ กันนะครับ เพราะผมชอบเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ไปเรื่อยๆ อยู่เหมือนกัน แต่ที่ผมใช้บ่อยๆ เลยก็จะเป็น Keeley: Compressor, H&K:Tubeman II, Keeley: Nova Wah อะไรประมาณนี้ครับ

Me: ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังดีไซน์เอฟเฟคที่เป็นของคุณเองกับ Keeley Electronics ใช่ไหมครับ? เล่าให้เราฟังนิดหน่อยได้ไหมครับว่าเอฟเฟคต์นั้นจะออกมาแนวๆ ไหน แล้ว สนุกไหมครับที่ได้ทำงานกับ Robert Keeley?
Neil: คำเดียวสั้นๆ ที่ผมจะพูดถึง Robert คือ “เขามันอัจฉริยะ” ครับ สุดยอดเลยจริงๆ และเขาเป็นคนน่ารักมากๆ ติดดินมากๆ เราคุยกันมาพักนึงแล้วครับ แล้วผมคิดว่าเราจะทำมันเร็วๆ นี้ เอฟเฟคต์ที่ว่านี้จะเป็นแนวๆ โอเวอร์ไดร์ฟมากกว่าดิสทรอชั่น ที่จะช่วยให้เสียงกีตาร์ผมมีซัสเทนมากขึ้น ผมให้ชื่อมันว่า “The Lead Singer” เพราะมันเหมือนกับว่าเอฟเฟคต์ก้อนนี้ทำให้เสียงโซโลกีตาร์ของผม “SING”. เราคุยกันเรื่องเซอร์กิตของเอฟเฟคต์ครับว่าเราจะสร้างมันจากไหนบ้าง อาจจะเริ่มต้นจากการลองใช้เซอร์กิตของ TS9 หรือ BD-2 เซอร์กิต หรืออาจจะเป็น Tri Pedals ก็คือเหมือนมีสามก้อนในก้อนเดียวอาจจะรวม Nova Wah (เอฟเฟคต์ตัวหนึ่งของ Keeley ที่ให้เสียงเป็น Fixed Wah) อะไรแบบนี้ แต่ที่เราทำอะไรได้ช้าก็เพราะว่าโรงงานของ Keeley เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ (เมื่อปี 2008) ก็เลยทำให้ตารางเวลาต่างๆ มันเปลี่ยนไปหมดเลย

Me: นีล นักกีตาร์หลายๆ คน เวลาเล่นสด มักจะมีเอฟเฟคต์ หรือ เครื่องมือที่เรียกว่าเป็น “อาวุธลับ” อยู่เสมอๆ สำหรับคุณแล้ว “อาวุธลับ” ของคุณคืออะไรครับ?
Neil: (นิ่ง ทำหน้าครุ่นคิด) ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าเป็นอาวุธลับได้หรือไม่นะครับ แต่บางครั้งเวลาไปเล่นในสถานที่ที่ระบบเสียงไม่ค่อยดี หรือ เครื่องไม้เครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน ผมมักจะใส่ที่ลดเสียง (ear plug ลักษณะคล้ายๆ หูฟังชนิด in-ear) บางครั้งไอ่เจ้าสิ่งนี้มันจะลดสดเสียงจี่ๆ หึ่งๆ ออกไปได้ทำให้ผมสามารถเอาตัวรอดจากโชว์นั้นๆ ไปได้ และอีกอย่างก็คือแฟนๆ คนดูนั่นหล่ะครับ ถึงแม้ว่าเครื่องเสียงจะห่วยหรืออะไรก็ตาม แต่ผู้ชมสนุกสนานในสิ่งที่ผมทำ เสียงร้องตะโกน เสียงเชียร์จากพวกเขาก็ทำจะทำให้ผมแสดงอย่างเต็มที่ลืมตายกันไปเลย (ยิ้ม)

Me: คำถามสุดท้ายแล้วครับนีล ถ้าคุณอยากจากฝากคำแนะนำให้นักกีตาร์ที่กำลังมองหาหนทางของตัวเอง คุณจะให้คำแนะนำเขาว่าอย่างไรกันบ้างครับ?
Neil: ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการที่เราชำนาญเรื่องสเกลล์ หรือ เทคนิคหรืออะไรต่างๆ นั้น ความรักในดนตรีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยครับ ถ้าคุณเริ่มเล่นดนตรีด้วยเหตุผลว่าอยากดัง อยากได้เงินมากๆ อยากเป็นร๊อคสตาร์ อยากเท่ห์โชว์หญิง เหตุผลเหล่านั้นเป็นเหตุผลที่แย่ และ ผิดครับ คุณอาจจะมีชื่อเสียงบ้าง แต่มันจะอยู่ได้ไม่นานในอีกสามปีห้าปีคุณก็ต้องไปทำอย่างอื่นแทนแล้วเพราะคุณไม่ได้รักดนตรีอย่างจริงๆ จังๆ ผมจะไม่ยอมแลกการเล่นดนตรีกับสิ่งอื่นๆ เลยครับ ถึงแม้บางครั้งผมจะเจอเหตุการณ์แย่ๆ ในอุตสาหกรรมดนตรีไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากจะเลิกเล่นดนตรีได้เลย เพราะเฉพาะนั้นแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วก็คือรักในสิ่งคุณทำ รักการเล่นดนตรี เล่นด้วยเหตุผลที่ถูกต้องจะทำให้คุณเป็นนักดนตรีจริงๆ

Me: ขอบคุณมากครับนีลที่เปิดโอกาสให้เราได้คุยกับคุณ
Neil: ขอบคุณมากๆ เช่นกันครับ คำถามคุณดีมากๆ ครับ (ยิ้ม)

*** ต้องขอขอบพระคุณ The Guitar MAG นิตยสารดนตรีสุดมันส์ที่ให้ผมมีโอกาสไปพูดคุย ซักถามเรื่องราวต่างๆ กับนักกีตาร์ระดับโลกอย่างใจชิดแบบนี้ ***


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น