วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Royal Blue Overdrive

ช่วงนี้มีก้อนใหม่ๆ ตกถึงมือเยอะเหลือเกินครับ ต้องค่อยๆ ทะยอยๆ ทดสอบกันอย่างละเอียด ผมถึงเขียนติดๆ กัน ไม่อยากจะดองของดีๆ ไว้นานครับ วันนี้ผมได้ทดสอบ Overdrive ก้อนใหม่จากค่าย Mad Professor ที่โด่งดังติดตลาดกันอยู่แล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่าเมื่อแบรนด์นี้ออกวางตลาด เราต้องได้ยิน ได้ฟังอะไรใหม่ๆ แน่นอน

วันนี้ผมได้ก้อนที่ชื่อว่า Royal Blue Overdrive มาทดสอบ จะว่าไปก้อนนี้มันก็ไม่ค่อย Blue ครับ ตัวสีออกม่วงๆ หน่อย โดยมีโลโก้และชื่อแบรนด์เป็นสีทองสกรีนอยู่ ผมดูแล้วชวนให้นึกถึง Marshall Plexi สีม่วงเลยครับ ผมเข้าใจว่าน่าจะมีความตั้งใจให้ออกมาแนวๆ นี้ ขนาดก็ compact ก้อนเล็กๆ สไตล์ Mad Professor นั่นแหละครับ ตัว Royal Blue Overdrive มาด้วยเลย์เอาท์การควบคุม 4 ปุ่ม Volume - ดัง/เบา Drive - จำนวน Overdrive และมี Bass/Treble ควมคุมทุ้มกับแหลม 


ผมทดสอบ Royal Blue Overdrive โดยใช้ Gibson Les Paul Standard เล่นผ่าน Royal Blue Overdrive ไปออกแอมป์ Bogner : Barcelona และ Bogner Internatial 1x12 Cabinet เสียงที่ได้มานั้น ผมมั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดแน่นอนครับ ถึงจะเรียกว่าเป็น Overdrive แต่ Royal Blue ทำหน้าที่เป็น Distortion เต็มๆ ได้เลย และมีโทนเสียงกระเดียดไปทาง Marshall JCM800 หรือพวก Plexi ที่ผ่านบู๊สแตกได้ระดับนึง ผมนึกถึงเสียงกีตาร์ของ Slash หรือวงพวก Hair Band ในยุค 80s ได้เลย ไม่ธรรมดาครับ สำหรับก้อนนี้ ปุ่มควบคุมย่านเบส และ แหลม มีผลต่อเสียงกีตาร์ของคุณมากๆ ถ้าปรับให้ได้ sweet spot ให้เข้ากับกีตาร์กับแอมป์ของคุณแล้ว เล่นเพลินๆ ได้ยาวๆ เลยทีเดียว ส่วนที่ผมชอบมากๆ คือถ้าคุณปรับ Drive น้อยๆ เค้าจะทำหน้าที่เป็น Overdrive ที่ Brown นิดๆ ได้ดีมาก แต่ถ้าเร่ง Drive ไปที่ราวๆ บ่ายสามโมง บวกวอลลุ่มดังอีกหน่อย รับประกันว่ามันส์สะแด่วแห้ว ปรกติ Overdrive ที่แตกเยอะ เวลาเล่นสายบนๆ มักจะเละๆ หน่อย แต่ในก้อนนี้ไม่เป็นเลยยังคงคมชัด คล้ายๆ กับเราเล่น Distortion ดีจากๆ หัวแอมป์ ยังไงยังงั้นเลย



Royal Blue Overdrive เป็นอีกก้อนที่คุณน่าจะได้ลองสัมผัสดู เค้าเป็นก้อนที่อาจจะมาสาย Marshall อีกก้อน แต่ผมเชื่อว่ามีเสียง และย่านเสียงที่คุณไม่เจอในก้อนไหนแน่ๆ และราคาจากตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราก็ไม่ได้แพงอะไรครับ 

Clip from Mad Professor

Pete Cornish : G-2


เมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งได้ก้อนเสียงแตกใหม่มาก้อนหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วแบรนด์นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังมานานมากๆ แต่ยังไม่เป็นที่นิยมกันในบ้านเรา ก็คงเพราะว่าราคาที่ค่อนไปทางสูงและไม่ค่อยมีร้านค้าที่ไหนมีของ และถ้าสั่งกับทางโรงงานเอง ก็ต้องรอเป็นเวลานานมากๆ เป็นเหตุให้พ่อค้าหัวใสบนอีเบย์ปล่อยขายได้ในราคาที่สูงเกินจริง แบรนด์ที่ว่านี้คือ Pete Cornish แต่ในปัจจุบันนี้ทางโรงงานปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน และนำเอาลูกชายของเขาเองมาช่วยงานแล้ว การผลิตจึงทำได้รวดเร็วขึ้น (ถึงจะรวดเร็วขึ้นก็ยังต้องรอหลัก 3 เดือนอยู่ดีครับ)

Pete Cornish ดังอย่างไร? หลายท่านที่บังเอิญมาอ่านบทความของผมอาจจะสงสัยแบบนี้ ก็ต้องบอกว่ามีชื่อเสียงอย่างมากๆ ครับ Pete Cornish ทำ Custom Effects และ Custom Pedalboard ให้กับศิลปินดังๆ มากมายหลายคนเลยทีเดียว เช่น David Gilmour จาก Pink Floyd, Brian May จาก Queen หรือจะมารุ่นใหม่ๆ หน่อยก็จะเป็น Noel Gallagher จาก Oasis และล่าสุดก็คือ John Mayer ศิลปินเหล่านี้คงจะการันตีแล้วว่า Pete Cornish ดีอย่างไร

แต่เริ่มแรกนั้น ส่วนตัวผมเองก็ยังเลือกไม่ถูกว่าอยากสั่งอะไรมาเล่น แต่ได้ยินว่ารุ่น P-1, P-2 นั้นดังมากมายาวนานเนื่องจาก David Gilmour ใช้มายาวนาน หลังจากไปอ่านสเปกอ่านข้อมูลอยู่เลยตัดสินใจสั่งรุ่นที่ชื่อ G-2 มา เนื่องเพราะฟังว่ามีคุณสมบัติเหมือนเสียงแอมป์ในยุค 70s มีการอ้างอิงเสียงกีตาร์ของวง Led Zeppelin, Rolling Stones ซึ่งเป็นวงโปรดของผมอยู่แล้ว ผมใช้เวลาราวๆ 3 เดือนรอ G-2 ส่งมาถึงบ้าน ผมเลือกสั่งรุ่นหน้าตาใหม่ที่เรียกว่า Battery Free เพราะมีขนาดเล็กลง และสุ้มเสียงนั้นเหมือนกัน เนื่องเพราะใช้วงจรเดียวกัน แต่ตัดส่วนที่ใส่ถ่านออกไป

G-2 มากับบ๊อกซ์สีดำที่เรียบง่าย หน้าตาเหมือนกับเครื่องมือทหารในสมัยก่อน ดูเท่ห์ไปอีกแบบ ใช้ Knobs หมุนแบบแอมป์เฟนเดอร์เก่าๆ หล่อๆ มีปุ่มควบคุมกันแค่ 3 ปุ่มคือ Volume คุมเสียงดัง/เบา Tone คุมย่านเสียงทุ้ม/แหลม และ Sustain คุมจำนวน Distortion ของก้อน ง่ายๆ ครับ สวิทช์เปิดปิดนั้น ทาง Pete Cornish นั้นใช้แบบ Buffer เนื่องจากเค้าเคยให้ความเห็นไว้ว่า True Bypass ไม่ใช่ของที่ดีเสมอไป บางครั้งการที่เราลากสายยาวๆ แล้วทั้งบอร์ดเป็น True Bypass ทั้งหมดนั้น ทำให้เราสูญเสียสัญญาณบางส่วนไปอย่างน่าเสียดาย 



ผมทดสอบ G-2 ด้วยกีตาร์ Gibson Les Paul Standard ผ่าน G-2 ไปเข้าแอมป์ Bogner : Barcelona - International 1x12 Cabinet พบว่าเสียงของ Distortion ที่ได้จาก G-2 นั้นมันจะเป็นลักษณะของเสียงแตกที่มีย่านโลว์คล้ายๆ Fuzz แต่จะแตกแบบ Distortion ที่เราคุ้นๆ กันตามแผ่นเสียงของพวก 70s , 80s Rock, Hard Rock ผมมาถึงบางอ้อก็ตอนที่อีเมล์กลับไปถามเค้าว่า G ย่อมาจากอะไร ซึ่งเค้าตอบว่า Germanium ครับ แสดงว่า G-2 นั้นเป็น Distortion ที่ใช้ Germanium Transistor มากกว่าจะใช้ชิพพวก 4558 ปรกติ หรือพวก LM308N ทั่วไป และการใช้ Germanium จะได้เอกลักษณ์ที่มีความอิ่มนวลของเสียงแตกดีทีเดียว อีกจุดที่ผมพอใจมากคือ ความสว่างของเสียงนั้นเปิดมากกว่าเอฟเฟค Distortion อื่นๆ ที่ผมเคยเล่นมา ผมลองวัดกับอีกหลายๆ ตัว เปรียบได้ว่าตัวอื่นๆ เหมือนเราเอาหมอนไปปิดหน้าตู้ไว้ จะฟังอู้ๆ กว่า G-2 พอสมควรทีเดียวครับ 



Pete Cornish G-2 เป็นก้อน Distortion ที่ดีมากๆ อีกก้อนนึง ที่ถ้าคุณมีโอกาสได้สัมผัส หรือเป็นเจ้าของ ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เข้าใจว่าบ้านเราไม่มีตัวแทนจำหน่ายครับ ถ้าคุณสนใจอยากได้ ก็ไปลงชื่อสั่งซื้อได้เลยที่ www.petecornish.co.uk ครับ