วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Bogner Ecstasy Red

หลังจากทดสอบ Uberschall Pedal กับ Ecstasy Blue Pedal ไปแล้ว ผมก็เกิดอาการคันเหลือหลาย อยากทดสอบตัวสุดท้ายในไลน์ผลิตก้อนของ Bogner นั่นก็คือ Ecstasy Red ที่ตอนนี้มาอยู่ในมือผมพร้อมที่จะให้ทดสอบดูแล้วครับ Bogner Ecstasy Red เป็นเอฟเฟคต์ที่จับเอาแชนแนลสีแดงของแอมป์ Bogner Ecstasy มาเป็นต้นแบบในการผลิต ซึ่งเจ้าแชนแนลสีแดงนี้ก็เป็น Hi Gain แชนแนลของแอมป์ Ecstasy ครับ

เช่นเคย Bogner Ecstasy Red มากับแพคเกจจิ้งที่สวยงามน่าจับต้อง เป็นกล่องออกมาก็จะเจอต้องเอฟเฟคต์สีแดงสดใส แผงวงจรถูกห่อหุ้มด้วยกล่องเหล็กแข็งแรงทนทานตามแบบฉบับเยอรมัน (Bogner Products นี่ดีไซน์โดยชาวเยอรมัน แต่ผลิตในอเมริกา) แผงหน้าตามีความใกล้เคียงกับ Ecstasy Blue แทบจะทั้งหมดคือ มีปุ่ม Volume - Treble - Mid - Bass - Gain เป็นหลัก และสามารถจูนจุดอื่นๆ ได้จาก Toggle ที่คอนโทรล Variac - Mode - Pre EQ - Structure และมี Trim Pot เล็กๆ ที่ควบคุม Volume และ Gain ในส่วนของ Boost ด้วย
ผมทดสอบ Ecstasy Red ด้วย Warmoth/Zith Guitar ผ่านตัวเอฟเฟคต์ไปเข้าแอมป์ Top Hat : Vanderbilt 33 พบว่าเจ้า Ecstasy Red นี่ถือเป็นก้อนที่ให้จำนวน Distortion มามากที่สุดในจำนวนทั้งสามรุ่นของ Bogner Pedals เปิดเกนท์ประมาณ 50% ก็ถือว่าแตกมากแล้ว และเสียงแตกที่ได้นี้ค่อนข้างใกล้เคียงเสียงที่ได้จากแอมป์พลิฟายด์ อาการคอมเพรสมีให้ได้ยินน้อยมาก เสียงแตกฟังดูเปิด (แต่ไม่แหลม) ปุ่ม EQ ทั้งสามปุ่มมีผลต่อการปรับมากๆ ครับ การหมุน EQ ปรับดูทำให้เกิดความแตกต่างและแคแรกเตอร์เสียงต่างๆ ออกไปกว้างมาก บวกกับเมื่อคุณปรับผสมเสียงร่วมกับ Mode Toggle และ Structure Toggle ทำให้ Ecstasy Red น่าจะเป็น Distortion ที่ให้ซาวด์ที่่คุณต้องการในหลายๆ แบบเลย 
Toggle ที่ผมพูดถึงเมื่อสักครู่ ก็เป็นการไฟน์จูนแคแรกเตอร์ของเสียงได้อีกหลายแบบ เช่นในส่วนของ Mode คุณสามารถควบคุมย่าน Low Frequency ให้ได้ซาวด์แบบแน่นกระชับ (Tight) หรือจะให้ฟังแบบหลวมๆ นุ่มๆ หน่อย (Mellow) หรือให้เสียงออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยใหญ่ๆ ก็ได้ (Full) หรือ Pre EQ ที่จริงๆ ก็คือ Bright Switch ที่ช่วยปรับย่าน Presense นิดหน่อย ในกรณีที่เราเจอแอมป์พลิฟายด์ต่างแบบกัน ก็พอจะช่วยให้เสียงมันเข้าท่าเข้าทางขึ้นมาอีกได้มากอยู่ และจุดที่ผมชอบคือ Structure ครับ การปรับ Structure ช่วยมากเรื่องแคแรกเตอร์ของการแตก 101 จะจำลอง Ecstasy 101B คือเป็น Vintage Sound ที่ออกไปทาง Hi Gain หน่อยๆ 100 คือ Classic Mod คิดง่ายๆ ว่า 101B คือ Steve Vai ซาวด์ และ 100 คือ Gary Moore ซาวด์ดีกว่า มันเห็นภาพขึ้นอีกนิด ส่วน 20th เป็นแคแรกเตอร์ของหลอด KT88 ที่ย่าน Low จะหนาขึ้นแตกเสียงแตกจะมันส์ขึ้นอีก


ต้องบอกว่า Bogner Ecstasy Red เป็นก้อนเสียงแตกที่เยี่ยมสุดตัวหนึ่งที่ผมเคยสัมผัสมา แคแรกเตอร์เสียงปรับได้กว้าง มี Boost ในตัวครบเครื่อง ปรับได้ตั้งแต่เป็น Overdrive จนถึง Hi Gain เหมาะกับกีตาร์ทั้งแบบ Single coils และ Humbuckers ถ้าตอนนี้คุณมองหา Distortion ที่จะเอาไปใช้งานได้กว้างๆ หล่ะก็ Bogner Ecstasy Red เป็นตัวนึงที่คุณไม่ควรมองข้าม และควรค่าแก่การทดสอบครับ แน่นอนว่าตอนนี้เจ้า Red นี่ก็มาลงบอร์ดผมแบบถาวรไปแล้ว ได้ฟังว่ามือกีตาร์แจ๋วๆ ในบ้านเราก็ให้ความไว้วางใจ Ecstasy Red ตัวนี้ด้วย ก็อย่างเช่นคุณยอด แห่งคณะบอดี้สแลม จึงอยากให้คุณๆ มีโอกาสได้ลองครับ




วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

BKP : Blackdog

ครั้งนี้ตั้งใจเอาเรื่องปิ๊กอัพแบรนด์ Bare Knuckle Pickups มาเขียนอีกครั้ง เนื่องด้วยผมเพิ่งเปลี่ยนปิ๊กกีตาร์ของตัวเอง จะว่าไปก็อาจจะเป็นเรื่องงงๆ หน่อย คือผมเปลี่ยนจากรุ่น Blackdog ไปเป็นรุ่น Blackdog ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก ผมเปลี่ยนใส่รุ่นเดิมนั่นแหละครับ เพียงแต่ผมเปลี่ยนจากแบบ Covered (มีฝาครอบ) ไปเป็น Open Coil (หน้าตาเป็นแบบหนอนสองตัวประกบกัน) ด้วยความที่ผมอยากทราบว่าเสียงมันต่างกันอย่างไร และมันดูเท่ห์ดีเมื่อใส่ลงบน Les Paul (อย่างน้อยผมก็มองแบบนั้นนะ)

กีตาร์ที่ผมจะเปลี่ยนปิ๊กอัพลงคือ Gibson Les Paul Standard R59 VOS ปี 2006 ของเดิมที่ติดมาตั้งแต่ทีแรก เข้าใจว่าเป็นปิ๊กอัพ Gibson Burst Bucker Pro ซึ่งมีความแรงระดับนึง และมีย่าน Low Frequency ที่หนักหน่วงมากๆ ในกรณีของผมแล้ว เรียกว่าล้นเกินไป จึงมีความตั้งใจอยากจะเปลี่ยนปิ๊กอัพเพื่อให้ได้ซาวด์ออกมาใกล้ๆ Vintage PAF (Patent Applied For) ซึ่งเป็นปิ๊กอัพที่ถูกผลิตไว้ใส่ 59 Les Paul รุ่นดั้งเดิมแท้ๆ ผมใช้เวลาหาข้อมูลพบว่ามีหลากหลายแบรนด์ที่พยายามจะ Capture เสียงในแบบ PAF ออกมาและหนึ่งในผู้ผลิตที่ทำได้ดีจนผู้คนกล่าวถึงมากๆ ก็คือ Bare Knuckle Pickups จากประเทศอังกฤษ ซึ่งออกมาในรุ่น The Mule ผมลองศึกษาข้อมูลพร้อมหาคลิปมาฟังประกอบก็รู้สึกว่า Mule นั้นดีจริง แต่ยังตอบสนองความต้องการของผมไม่หมด จึงตัดสินใจอีเมลล์หามิสเตอร์ Tim Mills เจ้าของและผู้ออกแบบปิ๊กอัพของ Bare Knuckle Pickups บ่งบอกถึงความต้องการของผม โจทย์ผมก็คือต้องการปิ๊กอัพที่มีความบาลานซ์ระหว่างสายสูง ความดังเบาไม่มีโดด และต้องการเสียงกลางเยอะหน่อย ย่านเบสไม่ต้องมากนัก และที่สำคัญผมต้องการเสียงใกล้ๆ PAF แต่มีความแรงพอที่จะเล่น Blues/Hard Rock ได้แบบไม่ต้องเค้นมาก ทาง Tim จึงแนะนำให้ผมเอารุ่น Blackdog Humbuckers มาใช้ 



ผมทดสอบ Gibson Les Paul R9VOS ที่ติด Bare Knuckle : Blackdog (Covered) กับแอมป์ Bogner Shiva + Bogner Shiva 2x12 Cab ตรงๆ โดยไม่ผ่านเอฟเฟคต์ใดๆ พบว่าเสียงที่แตกต่างจากของเดิมเลยคือเรื่องการบาลานซ์สายทำได้ดีมากๆ สาย 1 ถึง 6 เสียงดังเท่าๆ กันไม่มีสายไหนเบา สายไหนดังกว่ากัน ข้อนี้ถือว่าผ่านมากๆ เพราะเวลาเล่นเราได้ยินเสียงทุกสายชัดเจนจริงๆ ย่าน Low Frequency ก็ไม่หนาใหญ่จนเกินไป กำลังพอดีๆ หนาแต่ไม่ล้นนั่นแหละครับ เสียงกลางโดดเด่นอย่างที่ผมชอบเลย ย่าน Treble ก็คมและจิกๆ ซาวด์กระเดียดไปทางจิ๊กโก๋ๆ แบบที่ผมต้องการครับ โดยรวมนั้น ปิ๊กอัพตัว Neck จะกลมๆ หนาๆ เป็นเม็ดๆ ส่วนตัว Bridge จะแผดๆ กัดๆ เสียงกลางเด่นๆ ความดังระหว่างปิ๊กอัพสองตัวก็ Calibrated มาดีทำให้เมื่อสลับหน้าหลังแล้วไม่ดังโดดเลย


มาถึงเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ทำการเปลี่ยนปิ๊กอัพตัว Bridge อีกครั้ง เลือกเอารุ่นเดิม คือ Blackdog Humbucker แต่คราวนี้เป็น Open Coil มาใส่แทนตัวเก่า พบว่าเสียงยังมีแคแรกเตอร์แบบเดิม แต่กิน Distortion ได้มากขึ้น ย่านเสียง Mid กับ Treble คมใสขึ้นกว่าเก่านิดหน่อย และย่าน Low Frequency น้อยกว่าแบบ Covered เล็กน้อย แต่ต้องบอกว่า ถ้าชอบเสียงที่ Rock สะใจ แบบ Open Coil น่าจะโดนใจมากกว่าเยอะครับ ผมอยากให้คุณๆ ที่มองหาปิ๊กอัพคุณภาพดี ได้ลอง Bare Knuckle Pickups กันครับ หลังจากได้ลองมาหลายรุ่น รวมถึง Blackdog นี้แล้ว ผมยังคิดว่าบริษัททำปิ๊กอัพได้ดีกว่า และดูใส่ใจในการผลิตอย่างมากเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณๆ ถ้าสนใจยังไงลองเช็คดูได้ที่ 

www.bareknucklepickups.co.uk 

คุณก็อาจจะเจอสิ่งที่คุณต้องการไม่ว่าคุณจะใช้ Les Paul / Stratocaster / Telecaster เค้าก็มีผลิตปิ๊กอัพหลายๆ แบบมาให้คุณได้เลือกใช้ครับ


วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Cioks : DC10


สิ่งหนึ่งที่ผมได้สัมผัสหลังจากได้สังเกตุความเป็นไปในหมู่คนเล่นก้อน คนรักก้อน หรือคนที่จำเป็นต้องใข้ก้อนก็คือการที่อุปกรณ์สำคัญมากๆ ชิ้นหนึ่ง ถูกมองข้ามกันอยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้สำคัญอย่างยิ่งยวดไม่แพ้เอฟเฟคต์ก้อนโปรดของคุณๆ เลย ผมกำลังหมายถึงตัวจ่ายไฟ หรือที่เราเรียกกันจนคุ้นหูว่า Power Supply และเจ้าตัวจ่ายไฟนี้ ถือว่าเป็นอุปกรณ์หลักที่น่าจะมีติดบอร์ดไว้เพื่อเป็นขุมพลังงานให้กับเอฟเฟคต์ของนักกีตาร์แทบจะทุกบอร์ด ถ้าถามว่า Power Supply มีประโยชน์เพียงแค่จ่ายไฟหรือ? คำตอบก็คือไม่ใช่ครับ Power Supply คุณภาพดีๆ นั้น นอกจากจะจ่ายกำลังไฟให้กับเอฟเฟคต์ของคุณแล้ว ยังช่วยลดอาการจี่/ฮัม จากตัวเอฟเฟคต์ ลดอาการไฟไม่นิ่งและทำให้เอฟเฟคต์ของคุณทำงานได้เต็มที่ และแน่นอนว่าเสียงดีขึ้นด้วย

วันนี้ผมจะแนะนำแบรนด์ใหม่ที่เป็นน้องใหม่มาแรง เรียกว่า CIOKS เป็น Power Supply สัญชาติเดนมาร์กภายใต้การออกแบบของ Poul Cioks ที่ผลิต Power Supply ออกมามากมายหลากหลายรุ่น โดยแบ่งเป็นกลุ่ม Standard Series และ Professional Series ผลิตครอบคลุมทั้งไฟชนิด AC แหละ DC เลยทีเดียว ผมจะพูดถึงรุ่นที่เรียกว่าท๊อปฮิตของพวกเขากันก่อนครับ เป็นรุ่นที่อยู่ใน Professional Series เรียกว่า DC10 เจ้าตัวนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างหลากหลายและครอบคลุม สำหรับมือกีตาร์/มือเบสที่เรียกว่าเป็นคนขี้เบื่อ (ฮา) ชอบเปลี่ยนเซ็ตอัพของตัวเองอยู่บ่อยๆ ที่ว่าเหมาะก็เพราะว่า เจ้า DC10 นี้มี ช่องเสียงไฟ (Outlet) ให้ใช้ถึง 10 ช่อง มีการจ่ายไฟที่หลากหลายเหมาะสมกับหลายสถานการณ์



จ่ายไฟอย่างไรบ้าง?

Cioks DC10 มีภาคการจ่ายไฟที่มีหัวจ่ายแบบ 9vDc จ่ายที่หัวละ 100mA อยู่ 4 ช่อง / มีหัวจ่ายแบบ 9 หรือ 12vDC ที่หัวละ 200mA อยู่สองช่อง (ที่สามารถรวมกำลังไฟกันได้) และ 9 และ 12vDC ที่หัวละ 400mA อยู่ 1 ช่อง (ชุดนี้จะคำนวนรวมกันไม่เกิน 400mA) และสุดท้ายมีช่องจ่าย 9 และ 12 หรือ 15vDC ที่หัวละ 400mA (ใช้คำนวนไฟรวมกันเช่นกัน) เห็นความหลากหลายแล้วใช่ไหมครับ? เพราะงั้นกลุ่มนักกีตาร์/คนเบส ที่ใช้เอฟเฟคต์หลากหลายชนิดของไฟ ก็หมดปัญหาไปครับ

แล้วมันเหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ ตรงไหน?

ต้องบอกว่ามีที่เห็นๆ เลย 3 จุดใหญ่ๆ คือการที่ Cioks กล้าๆ ใช้ Transformer ชนิด Toroidal Transformer ที่มีคุณภาพสูงและคุณประโยชน์เหนือกว่าชนิด Standard Laminated ซึ่งไอ่เจ้า Torodial นี่แหละที่ทำให้ก้อนๆ ของคุณมีเสียงรบกวนน้อยลงมากๆ ครับ ในจุดที่ 2 ก็คือ Cioks ใส่ Short Circuit Protection ไว้ในทุกๆ ช่องจ่ายไฟ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ถือว่าเป็นการดีไซน์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับ Users มากๆ ในกรณีที่ถ้าคุณๆ ใช้เอฟเฟคต์ก้อนราคาสูงๆ ถ้ามีการลัดวงจรขึ้นมา คงจะไม่คุ้มเลยใช่ไหมครับ ในส่วนสุดท้ายที่ผมเห็นว่าเป็นข้อดีมากๆ ของ DC10 (หรือรุ่นอื่นๆ ของ Cioks) ก็คือการมีสายเคเบิ้ลให้ใช้แบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบ Split คือเรียกง่ายๆ ว่าจ่ายไฟได้ 2 ก้อนจาก 1 outlet หรือ Stacked คือการจ่ายไฟชนิดรวมกระแส (เนื่องจาก DC10 เป็น Isolated)

การใช้งาน

การใช้งานก็ง่ายดายนะครับ เปิดกล่อง เลือกสายเคเบิ้ลให้ถูกต้อง เสียบเข้ากับเอฟเฟคต์ก้อนของคุณ เท่านี้ ก็เรียบร้อย เจ้า DC10 นี้ติดมากับแผ่นเหล็ก 2-3 ชิ้น ที่ใช้ติดมันเข้ากับ Pedalboard ของคุณได้อย่างแน่นหนา ถ้าหากใช้ PedalTrain ก็สามารถเจาะข้างใต้แล้วเอาน๊อตยึดแบบถาวรไปเลยได้ สายเคเบิ้ลที่ให้มา ก็มีหลากหลายหัวที่เป็นแบบปรกติทั่วไป หรือเป็นแบบหางหนู (ใช้กับพวก DOD บางรุ่น หรือ TS808) หรือว่าจะเป็นชนิด Reverse Polirity ก็มี และมีความยาวหลากหลายครับ ติดข้ามไปมาในบอร์ดได้สบาย 


โดยสรุป หลังจากได้ลองแล้ว DC10 เป็น Professional Power Supply ที่น่าจะครอบคลุมที่สุดแล้วในตลาดตอนนี้ และเรียกว่าใช้คอมโพเนนท์หลักที่คุณภาพสูงสุด่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ Toroidal Transformer ที่คุณภาพดีที่สุด ทำให้เรื่องของ Noise และความนิ่งในการจ่ายไฟทำได้ดีเยี่ยมจริง ไม่อยากให้มองข้าม และเป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะลงทุนกับ Power Supply ดีๆ เพื่อประโยชน์ที่สำคัญอย่างน้อยๆ 1. รักษาไม่ให้ก้อนๆ ของคุณเป็นอันตราย และ 2. ทำให้ก้อนๆ ของคุณเปล่งประสิทธิภาพได้เต็มที่ครับ

Bogner Ecstacy Blue


คราวที่แล้ว ผมเขียนทดสอบก้อน Bogner Uberschall ไปแล้ว ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ฮือฮาดีมากเลยครับ นักกีตาร์พี่ๆ น้องๆ ชาวเมตัลคงจะชอบใจ คราวนี้ ผมอยากเขียนถึงอีกรุ่นหนึ่งที่ออกมาพร้อมๆ กันบ้าง เป็นก้อนฟ้าที่เรียกว่าจำลองแชนแนล Blue มาจากแอมป์ที่เรียกว่าเป็นตำนานของ Bogner ไปแล้ว คือรุ่น Ecstasy นั่นเอง เจ้า Ecstasy Blue เป็นแชนแนลที่ให้เสียงแนวๆ Crunch หรือเสียงแตกที่เริ่มๆ จะ Break Up ของแอมป์ หรือจะเรียกว่าเป็น Overdrive ก็ยังได้ จาก Ecstasy Amp ครับ ส่วนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เพิ่งจะได้อ่านตอนนี้เป็นตอนแรก และสงสัยว่า Bogner Amplifications มันดังอะไรยังไง รบกวนตามลิ๊งไปลองอ่านประวัติพอสังเขปของ Reinhold Bogner ดู :

http://aplayboysreturn.blogspot.com/2012/07/bogner-history.html

ก้อน Ecstasy Blue นี้ มากับแพ๊คเกจสวยงามคล้ายๆ กับตัว Uber เว้นแต่ว่าตรงมุมของกล่องจะพิมพ์คำว่า Ecstasy Blue แทน เปิดกล่องออกมาก็จะพบกับก้อนสีฟ้าสวยงาม ขนาดเดียวกันกับ Uber เช่นกัน แต่ตรงหน้าปัทม์จะต่างกันอยู่ ถึงแม้จะมี Volume - Treble - Mid - Bass - Gain เหมือนกัน แต่ด้านบนเหนือนปุ่มหมุ่นจะเป็น Toggle Switch อยู่ถึง 4 อัน ไล่ไปจากซ้ายไปขวาคือ Variac - Mode - Pre EQ - Structure อะไรเป็นอะไรผมจะเล่าให้ฟังกันตามลำดับครับ และแน่นอนว่าต้องมีปุ่ม Boost ด้วย แต่ Ecstasy จะมี Boost ทั้ง Volume และ Gain ด้วยเลย ควบคุมได้จาก Trim Pot เล็กๆ ที่วางอยู่ใต้ Volume และ Gain หลัก สองปุ่มนี้มีผลมากกับเสียงขอเจ้า Ecstasy Blue นี้ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังเช่นกัน


เรื่อง panel ปรกติคือ Volume หรือ EQ คงจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากคงจะคุ้นเคยกันมาอยู่แล้ว ผมจะพูดถึง Toggle Switch ที่เพิ่มเติมเข้ามาว่ามีอะไรบ้าง เริ่มจาก:

- Variac: เมื่อ On จะเสมือนเป็นการลด Voltage จะทำให้เสียงเบาลง มีคอมเพรสมากขึ้น (บางกรณีใช้สำหรับการเล่นในบ้าน เมื่อต้องการให้เสียงแตกเต็ม ในวอลลุ่มที่เบาลงได้ด้วย)
- Mode: Plexi จะเป็นโหมดที่แทบจะไม่แตกจะได้เสียง Crunchy แบบแอมป์ยุค 70 ส่วน Blue จะเป็นโหมดสีฟ้าของแอมป์ Ecstasy จะแตกกลางๆ ค่อนไปทางโอเวอร์ไดร์ฟ แต่จะไม่มี compression ทำให้เสียงเปิดมาก
- Pre EQ: ว่ากันง่ายๆ บ้านๆ ก็คือ Bright Switch นั่นเองครับ จะมี B1/B2 เป็นลักษณะการ Bright คนละแบบ ส่วน N จะเป็น Natural คือเป็นเสียงปรกติ
- Structure: เรียกว่าเป็น Character เสียงของแอมป์ Ecstasy ที่ผลิตมาสามรุ่น คือ 101 = 101B จะฟังวินเทจแต่ยังมีเกนท์มาก 100 = Classic Mod เป็นวินเทจและเกนท์น้อย และเสียงกลางจะเด่นกว่า 101 สุดท้าย 20th คือเสียงแบบหลอด KT88 จะแตกเยอะสุด เสียงจะโมเดิร์นสุด


ผมทดสอบ Bogner Ecstasy Blue ด้วย Gibson Les Paul Standard R9VOS (ติด Bare Knuckle: Blackdog) เล่นกับ Bogner Shiva 6L6 + Bogner Shiva 2x12 Cabinet ผมเริ่มเล่นจาก Plexi Mode ก่อน บิดเกนท์ไปสุดแล้วยังไม่ค่อยแตกเท่าไหร่ เมื่อเปิด Boost ช่วย เสียงแตกที่ได้จะมันส์มากๆ เสียงจะละม้ายกับเสียง Classic Rock Guitar ที่เราได้ยินกันในแผ่นเพลงยุค 70s เลย เสียงเพราะมากๆ การ Boost ของ Ecstasy นี้ก็แจ๋วนะครับ สามารถคอนโทรลได้ทั้ง Boost Volume และ Boost Gain คุณๆ สามารถเลือกเปิดมาน้อยได้ตามใจชอบ ผมใช้วิธีปิด Boost Volume แต่เปิด Boost Gain ไว้ประมาณ 11 โมง เล่นสนุกมาก ถึงแม้จะ Boost แล้วก็ยังไม่มี Compression ให้ได้ยิน เมื่อสวิทช์ไปที่ Blue Mode ได้เกนท์เพิ่มอีกพอสมควร เป็นกึ่ง Cruch กึ่ง Overdrive ที่เสียงเปิดมาก (ฝรั่งเค้าเรียก Open) จุดเด่นของ Blue Pedal น่าจะอยู่ที่ตรงนี้ครับ คือเสียงฟังไม่รุนแรงมาก เนื้อเสียงฉ่ำ เต็มและฟังเป็น Overdrive/Crunch ที่เพราะโขอยู่ เมื่อ Boost เข้าไป ก็ได้เสียงเป็นพวก Hi Gain ได้เหมือนกันครับ พอเพียงที่จะเล่น Pop/Blues/Rock/Hard Rock ได้สบายๆ เลย โดยสรุป Bogner Ecstast Blue เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีคุณภาพสูงจริงๆ สำหรับก้อน Overdrive หรือคนที่ต้องการเสียงแตกขนาดกลางๆ เสียงแตกฟังฉ่ำและเนื้อเสียงแน่นละเอียด ถ้าสนใจอยากลองเจ้า Bogner Pedals ก็ติดต่อตรงไปที่ Pedals' Park Music Playground ได้เลยครับ