วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

FTT : MS-2V

Free The Tone : Matt Schofield Overdrive (Standard Series)


เมื่อปีที่แล้ว Free The Tone ออกก้อน Overdrive ที่เป็นรุ่นลายเซนต์ของมือกีตาร์สาย Blues/Jazz/Fusion ที่ชื่อว่า Matt Schofield ซึ่งเป็นมือกีตาร์ที่กำลังมาแรงในเวทีโลก และกำลังเดินสายทัวร์อยู่เพื่อโปรโมทอัลบั้มใหม่ ซาวด์ของ Matt เริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องด้วยเขาเองก็ได้รับการยอมรับจากแอมป์ชื่อดังชื่อ Two Rock และได้ออกแอมป์รุ่นลายเซ็นต์กับค่ายนี้ และทาง Matt ก็ต้องการ Overdrive ดีๆ ที่จะนำมาใช้ทัวร์จึงได้เซ็นต์สัญญากับ Free The Tone มาเป็นรุ่นลายเซ็นต์ของเขา และเมื่อตัว Custom เลิกผลิตไปเมื่อปลายปี 2013 ที่ผ่านมา ทางแฟนเพลงกลุ่มที่ต้องการเล่น Overdrive ของ Matt ก็เรียกร้องให้ Free The Tone ผลิตออกมาใหม่ จึงเป็นที่มาของ MS-2V ตัวนี้ครับ

MS-2V เป็น Overdrive ที่น่าจะเรียกว่าเป็น Dynamic Overdrive ที่ดีมากๆ อีกก้อน ถึงแม้จะผลิตมาลงซีรี่ส์ Standard ของ FTT แต่ของที่เกิดจากค่ายนี้ ไม่ว่าซีรี่ส์ไหน ก็ไม่ธรรมดาแน่ๆ เจ้า MS-2V มากับบ๊อกซ์ที่คอมแพ๊คและลงสีแดงแบบเมทลิกสวยงาม มีปุ่มควบคุมแค่ 3 ปุ่ม คือ Level - คุมดังเบา Tone - คุมทุ้มแหลม และ Gain - คุมจำนวน Gain และใช้ไฟ 9vDC ที่ 90mA ที่ถือว่าค่อนข้างจะเยอะสำหรับ Overdrive 1 ก้อน แต่ด้วยการออกแบบที่กินไฟค่อนข้างมากนี้ ทำให้มีหลายสิ่งที่ Overdrive ทั่วๆ ไปทำไม่ได้ เช่น Headroom ที่เหลือเฟือ และ Dynamic Respond ที่ดีเยี่ยม


ผมทดสอบ MS-2V ด้วย James Tyler Studio Elite ไปออก Bogner : Barcelona + Bogner International 1x12 Cabinet หลังจากทดสอบแล้วพบว่าแคแรกเตอร์ของ 2V ไม่ต่างกับตัว Custom มากนัก แต่ด้วยความที่ใช้เกรดของอุปกรณ์ต่างกัน ทำให้เนื้อเสียงบางส่วนอาจจะหนาใหญ่ไม่เท่า แต่ยังเป็น Overdrive ที่ดีเยี่ยมเหลือเฟือ เมื่อเล่นที่ Gain น้อยๆ จะได้เสียงคลีนจากกีตาร์ค่อนข้างมาก แต่เสมือนว่าเคลือบด้วย Overdrive บางๆ และมี Clipping ที่ฟังสวย และเป็นกลุ่มเป็นก้อน MS-2V นี้สามารถเร่งขึ้นเป็น Mid Gain Overdrive ได้สบายๆ มี Gain Range ให้เลือกใช้เยอะ ถ้าคุณไม่ได้เล่นพวก Heavy Music เผลอๆ จะใช้เป็นแตกหลักก็ยังได้ครับ MS-2V เป็นอีกก้อนคุณภาพจาก Free The Tone ที่ไม่อยากให้คุณพลาดกันครับ

Clip from Paul Audia

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Kartakou : Warmer Od

สารภาพว่าผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแบรนด์นี้ในโลก ตอนได้ทดสอบยังแปลกใจว่า เสียงมันเข้าท่าเลยนะ และเท่าที่ทราบราคามาก็มิตรภาพพอสมควร แบรนด์ที่ผมกำลังพูดถึงชื่อว่า Kartakou Amplifications รุ่น Warmer Overdrive หลังจากที่ได้มาทดสอบ ผมก็ลองหาข้อมูลดู ปรากฏว่าแบรนด์ Kartakou นี่มาไกลจากประเทศเบลารุส และ Warmer Overdrive เป็น 1 ใน 2 ก้อนที่ทางโน้นผลิต (อีกก้อนมีชื่อว่า BeastBox เดาว่าเป็นพวก Super Hi-Gain Distortion) และทางผู้ผลิตเองก็เป็นนักดนตรีและอยู่ในวงเมตัลชื่อดังของทางประเทศนั้นอีกด้วย 

เรามาว่ากันถึง Warmer Overdrive กันต่อ หลังจากแกะกล่องออกมา Warmer มากับ Box สีดำเข้ม (เข้าใจว่ามี  2 สี คือดำและแดง แต่ตัวที่ผมทดสอบเป็นสีดำ) พร้อมกับมีถุงใส่ chip มาให้อีก 4 ตัว ผมลองเปิดฝาหลังดู ปรากฏว่าเราสามารถเปลี่ยน Chip ใส่เองได้ด้วย และเสียงก็จะเปลี่ยนไปตาม Chip ที่ใส่เข้าไป (ผมทดสอบดูคือจาก 5 chips ที่มีมาให้นั้น สามารถใช้ได้ 3 ตัว ส่วนอีกสองตัวนั้น เงียบครับ) ตัวบ๊อกซ์ ก็ออกแบบได้สวยงามแบบเรียบๆ มี Volume - Gain - Tone ตามสไตล์โอเวอร์ไดร์ฟ และมี Toggle Switch ด้านข้าง 2 อันปรับแต่งย่านเสียงเบส และ กลาง/แหลมได้อีกนิดหน่อย จุดที่น่ารักของ Warmer อีกจุดคือมีไฟสวยๆ สว่างออกมาจากฐานของตัวเอฟเฟคต์ตอนเปิดใช้งานอีกด้วยครับ


ผมทดสอบ Warmer Overdrive โดยใช้ James Tyler Studio Elite ผ่าน Warmer ไปเข้าตู้แอมป์ Bogner : Barcelona + Marshall 2061cx Cabinet รู้สึกว่า Warmer เป็น Overdrive ที่มีเสียงมาตรฐานใกล้เคียงกับกลุ่ม Tube Screamer แต่ได้ Gain Range ที่กว้างกว่า ข้อดีที่ชอบคือ Noise น้อยพอสมควร เร่ง Gain มากๆ ก็เล่นพวก Rock ได้สบายๆ Toggle ข้างๆ ผมเปิดตัวที่เพิ่ม Mid/High เล่นเสียงจะฟังสว่างกว่า แต่ตัวเพิ่มเบสต้องปิดไว้ เพราะเล่นกับตู้ Bogner แล้วจะฟังบวมเล็กน้อย ปิดไว้พอดีกว่า ผมลองสลับจาก chip อันที่ติดมากับตัวก้อน ไปเป็นอีกตัวคือเบอร์ JRC4558D ตัวนี้จะฟัง Brown มากขึ้น Gain น้อยลงเล็กน้อย แต่ก้นใหญ่ขึ้นมาหน่อย แค่ได้สองเสียงแบบนี้ก็เรียกว่าคุ้มค่าแล้วครับสำหรับราคาแบบนี้ 

Kartakou : Warmer Overdrive ก็เป็นอีกก้อนที่เรียกว่าถึงจะยังมีชื่อเสียงไม่โด่งดังมากนัก แต่ถือเป็นก้อนที่กล้าคิดกล้าทำ มีมิติใหม่ในการออกแบบทั้งหน้าตาและเสียง ถ้ามีโอกาสก็ควรจะลองดูครับ น่าจะเป็นก้อน Overdrive ที่คุ้มค่าทีเดียว

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Majikbox : Rocket Fuel

ก้อนที่ผมจะเขียนถึงในบทนี้ เป็นก้อนที่ผมเล็งมาเป็นเวลานานพอสมควรครับ ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์สอยมาเป็นของตัวเองเสียที เป็นก้อนที่เป็น Overdrive/Booster ที่เกิดมาเพื่อเป็น Overdrive/Booster แท้ๆ เลย และเป็นก้อน Signature ของมือกีตาร์ที่ผมชื่อชอบอีกคนนึง แบรนด์นี้เรียกว่าเป็นแบรนด์ดัง และเด่นของทางอเมริกาเขาเลย เพราะเป็นแบรนด์ที่มีนักกีตาร์ดังๆ ใช้เอฟเฟคต์เค้าอยู่หลายคน เช่น Paul Gilbert, James "Munky" Shaffer และยังมี Doug Aldrich คนที่ผมกำลังจะพูดถึงเอฟเฟคต์ซิกเนเจอร์ของเขานั่นแหละครับ เอฟเฟคต์ที่ว่านี้แบรนด์ชื่อว่า Majikbox USA และนี่เป็นปีที่ 5 แล้วครับ ที่ Doug Aldrich (Whitesnake, Dio) อยู่กับค่ายนี้ จึงมีรุ่นพิเศษ Limited Edition 5 Anniversary ออกมา เอฟเฟคต์เขาชื่อว่า Rocket Fuel : Overdrive/Booster 

Rocket Fuel เป็นเอฟเฟคต์ที่มี 2 แชนแนลในตัวมันเอง คือฝั่งซ้ายสุด มี 1 สวิทช์ กับ 1 ปุ่มหมุน (สีน้ำเงิน) เป็นฝั่งที่เป็น Clean Boost และอีกฝั่งที่เป็น Overdrive จะมี Volume/Tone/Gain และ 1 สวิทช์ ทั้งสองตัวทำงานอิสระแยกออกจากกัน จะเลือกใช้ฝั่งไหนก็ได้ ซึ่งเป็นข้อดีข้อนึงของพวก twin pedal แบบนี้ เพราะบางครั้งเราก็อยากใช้แค่ฝั่งเดียวในบางอารมณ์ และเจ้า Rocket Fuel นี้ถูกดีไซน์โดยมีไอเดียจากการที่ Doug ต้องการที่จะเลิกใช้ EQ/Effect แบบ Rack System และต้องการได้เสียงแบบนั้นในรูปแบบที่ Compact ทาง Majikbox เลย ออกแบบวงจรโดยให้เสียงของก้อนนี้ใกล้เคียงกับระบบ EQ/Effect Rack ของ Doug ที่สุดนั่นเอง


ผมทดสอบ Rocket Fuel โดยใช้ Gibson Les Paul Standard ร่วมกับ Bogner Ecstasy Blue และ Bogner : Barcelona - International 1x12 cabinet พบว่า ถ้าใช้ Rocket Fuel เป็น Overdrive เดี่ยวๆ เสียงจะออกเป็นพวก Overdrive ที่ฟังดูดุเดือดกว่าที่เราคุ้นๆ กัน เสียงออกค่อนไปทางคมๆ และเมื่อใช้ร่วมกับ Clean Boost จะแตกมากขึ้นอีกเล็กน้อย เข้าใจว่ามันไม่คลีน 100% แต่จะมี Gain นิดๆ เพื่อผลักให้มันแตกมากขึ้นอีกหน่อย สำหรับคนที่ชอบ Overdrive ละเมียดๆ นี่ Rocket Fuel ไม่ใช่แนวแน่นอน ต่อมา ผมทดสอบให้ RF เป็น Gain Boost ให้กับ Ecstasy Blue โดยเปิดให้ Ecstasy เป็นเสียงแตกไว้นิดหน่อยในโหมด Plexi แล้วจึงบู๊สซ้ำด้วย Rocket Fuel ตรงนี้ครับที่ผมประทับใจจนต้องจั่วหัวไว้ให้ว่าเป็นก้อนที่เกิดมาเพื่อเป็น Booster อย่างแท้จริง เพราะย่านเสียงที่ได้มานั่นมันไปละม้ายซาวด์ของ Doug มากๆ และได้ Distortion ที่แตกเนื้อๆ ได้ Gain ที่เพิ่มขึ้นมามาก แต่ฟังแล้วไม่มีอาการพีก (แตกเละๆ) จุดที่ชอบมากคือน๊อยส์หรือเสียงที่ไม่พึงประสงค์ก็มีน้อยอีกด้วย อีกจุดนึงที่ต้องพูดถึงคือสวิทช์ Bass Shift ที่จะมี 3 Steps ให้เลือกใช้ เป็นปุ่มที่ใช้เพิ่มลดย่านเบสว่าต้องการมากน้อยแค่ไหน 1 คือปกติ 2 เพิ่มเบสระดับที่ 1 และ 3 คือเพิ่มระดับ 2 และเยอะที่สุด ส่วนตัวผมชอบที่ Position 2 เพราะมันกำลังดี ไม่ล้นเกินไปครับ


Rocket Fuel จากค่าย Majikbox USA นี้เป็นมากกว่า Overdrive/Booster ธรรมดาครับ อยากให้ได้มีโอกาสลองกัน น่าจะเป็นมิติใหม่ของ Overdrive/Booster ที่ให้ย่านเสียงที่แตกต่าง ให้ Gain ที่แตกต่างไปจากก้อนๆ ที่เคยได้เล่นกันเลย เรียกว่าก้อนนี้ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และทำให้เข้าใจเลยว่าทำไม Doug Aldrich จึงเลือกที่จะมี Rocket Fuel ในบอร์ดของเขา

Doug Aldrich ทดสอบ Rocket Fuel

Bogner Ecstasy Blue + Majikbox Rocket Fuel