วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Silky Drive

Providence Effector ถือเป็นแบรด์ใหม่สำหรับคนเล่น FX ก้อนๆ ของไทยเรา แต่ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ ต้องขอบคุณมือกีตาร์ชาวอาทิตย์อุทัยที่โด่งดังมากเช่น Ken จากคณะ L'Arch En Ceil หรือถ้าคนชอบสายบลูส์แจ๊ส Robben Ford ก็เป็นอีกคนที่ใช้งาน FX ของค่ายนี้ รวมไปถึง Larry Carlton, Steve Lukather และ Paul Jackson ด้วย ชื่อที่กล่าวมา ล้วนแต่เป็นที่รู้กันว่า เป็นกลุ่มนักกีตาร์ระดับโลกที่มีเซ็ตอัพอลังการ และมีโทนเสียงกีตาร์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดกลุ่มหนึ่ง

เอฟเฟคต์ที่ผมจะเอามาเขียนถึงในวันนี้ ก็เป็น F Series จากค่าย Providence ชื่อว่า Silky Drive ที่เพิ่งจะออกวางตลาดได้สักสองเดือนที่ผ่านมานี้เอง Silky Drive ถือเป็น FX รุ่นที่สองที่ออกภายใน F Series (หรือเว้ากันง่ายๆ ว่าเป็น Customshop ของ Providence นั่นเอง) หลังจากตัวแรก Flame Drive ได้ออกวางตลาดมาราวๆ 1 ปี และประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง (แม้กระทั่ง Matt Scholfield ก็เอาไปใช้เป็นเรื่องเป็นราว)

Silky Drive เป็นเอฟเฟคต์ประเภท Overdrive ที่ง่ายต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก มีการควบคุมคือ Volume - Tone - Gain และปุ่ม Gain Boost ง่ายๆ เท่านี้ครับ แต่ที่สำคัญและผมเห็นว่าเป็นวิวัฒนาการใหม่ของตลาด FX เลย คือระบบ Vitalizer ที่ติดมากับ FX ทุกก้อนของ Providence นี่สิ เจ้าระบบ Vitalizer เป็นระบบที่มีไว้เพื่อช่วยชดเชยการสูญเสียคุณภาพของเสียงเวลาต่อผ่าน FX หลายๆ ก้อน หรือ ลากสายสัญญาณยาวๆ เจ้า Vitalizer จะช่วยให้คุณภาพเสียงกลับมาอยู่ในจุดที่ไม่สูญเสียย่านเสียงใดๆ เลย (เรียกว่าถ้าในบอร์ดมี Vitalizer สักตัว ก็ไม่ต้องกังวลเสียงจะเปลี่ยนหล่ะครับ)

ผมทดสอบ Silky Drive ด้วยกีตาร์สองตัวคือ Fender Telecaster Re60 และ Paul Reed Smith Custom 24 ต่อผ่าน Silky ไปเข้า Bogner Metropolis 15w พบว่า Silky Drive นี่มัน Silky สมชื่อ คือให้เสียง Overdrive ที่นุ่มนวลดุจแพรไหมกันเลย เสียง Od ฟังเน้นไปแนวๆ สะอาด สุภาพ หวานๆ เนียนๆ สำหรับคนรักชอบแนวๆ Blues/Jazz/Pop/Rock (กลุ่มคนเล่น Hardrock/Metal ไม่น่าจะโดน) แต่ละปุ่มมีการควบคุมจุดต่างๆ ที่เรียกว่ามีย่านเสียงให้เลือกกันแบบกว้างๆ และเมื่อกด Gain Boost เพิ่มเสียงแตกขึ้นมา ทำให้ประทับใจมากๆ เพราะว่า เสียงกีตาร์คุณก็ไม่ได้เปลี่ยนไปไหน แต่เหมือนกับว่ามี Gain อีกชุดหนึ่งซ้อนขึ้นมาบางๆ จาก Gain หลัง จะเน้นไปย่าน Mid-Low เยอะหน่อย ทำให้เสียงกีตาร์คุณฟังดูหนาขึ้น อวบขึ้น แต่โทนไม่เปลี่ยน ซึ่งตรงนี้ผมเห็นว่าเป็นการดีไซน์ที่เจ๋งมากๆ ของ Silky Drive

เจ้าก้อน Silky นี่ยังไม่เลือกว่าคุณใช้กีตาร์อะไร เพราะเขาสามารถตอบสนองได้ดีทั้งกับ Single Coils หรือ  Humbuckers จะว่าไป เผินๆ แล้ว Silky Drive อาจจะมีคอนเซปท์คล้ายๆ Zendrive จากค่าย Hermida (ผมหมายถึงรุ่นแรกๆ ที่ยังเป็น Handwired นะครับ รุ่นหลังๆ เอามาเทียบไม่ได้เลย) คือเป็น Overdrive ที่ฟังดูนุ่มละมุน แต่เมื่อเทียบกันตัวต่อตัว Zendrive จะฟัง compressed หรือถูกบีบอัดเยอะกว่า แต่ Silky Drive ฟังออกสบายหู มี Dynamic หนักเบาตามปิ๊กชัดเจนกว่า จึงเห็นว่ามันแจ๋วพอที่จะเอามาแนะนำกันครับ เพราะนี่เป็นหนึ่งใน FX ไม่กี่ตัวที่ให้เสียง Od แนวๆ Smooth ชัดเจน และดีมากอีกด้วย (จริงๆ แค่ระบบ Vitalizer นี่ก็เจ๋งมากแล้ว) จึงอยากแนะนำให้ไปลองเสียงกันครับ เผื่อจะเป็นตัวเลือกเจ๋งๆ อีกตัวสำหรับคุณ


(ถ้าสนใจก็ติดต่อตัวแทนจำหน่าย Pedals' Park Music Playground ได้เลย 0818131595 / 0870126969)

**Thanks for the demo clip from Burgerman666**

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Namm Show 2012 Pt.1





  ในแต่ละปี ผมจะตั้งตาติดตามเวปบางเวปที่มีสมาชิกในเวปนั้นๆ ได้มีโอกาสได้ ไปร่วมงานที่ต้องเรียกกันว่า มหกรรมเครื่องดนตรี หรือ มหกรรมดนตรีที่ใหญ่มากๆ ที่จัดอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องติดตามก็เนื่องจากว่า ถ้าคุณๆ เป็นคนบ้าอุปกรณ์ดนตรีแบบที่ผมเป็น ก็ต้องอยากจะติดตามว่าในแต่ละปี จะมีของเล่นสำหรับคนดนตรีอย่างเรา (เอฟเฟคต์ก้อน และ แอมป์ สำหรับผม) มีอะไรออกใหม่ๆ บ้าง งานที่ว่านี้เราอาจจะคุ้นเคยได้ยินที่เขาเรียกกันว่า Namm Show


งาน Namm Show (อ่านว่าแนม โชว์นะครับ ไม่ใช่แหนม โชว์อย่างที่มีคนเค้าแซวกัน) เจ้างานนี้ ฟังว่าจัดขึ้นมานานโขแล้วครับ ตั้งแต่ปี 1901 โน่น แล้วก็ย่อมาจาก National Association Of Music Merchants (ยาวไม๊?) ซึ่งอธิบายกันง่ายๆ ก็คือเป็นงานที่มีบริษัทผู้ผลิตเครื่องดนตรี หรือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับดนตรี เค้ามาจัดแสดงสินค้าใหม่ๆ ให้เราได้ชม ไม่เฉพาะเกี่ยวกับกีตาร์ เบส หรือ กลองแค่นั้นนะครับ ยังมีเกี่ยวข้องกับเครื่องเป่า เปียโน ไวโอลิน เครื่องคลาสสิค หรือแม้กระทั่งบริษัทที่ผลิตพวกโน๊ตเพลงและอื่นๆ อีกมากมาย (มากมายขนาดผมเดินสามวัน วันละ 6 ชั่วโมง ก็ยังไม่ครบงาน)
            
งานช้างงานนี้ ปรกติเค้าก็มีกันสองรอบคือเป็น Winter Namm จะจัดกันช่วงเดือนมกราคมของทุกปี และ Summer Namm จะจัดกันช่วงกรกฏาคม ซึ่งงานช่วง Summer จะเล็กกว่าหลายๆ เท่า เพราะฉะนั้นแล้ว บริษัทห้างร้านใหญ่น้อยของบ้านเรา จึงนิยมที่จะเดินทางไปติดต่อกับผู้ผลิต กันในช่วงเดือนมกราคมมากกว่า ที่ผมได้โอกาสมาเขียนเรื่องนี้ให้คุณๆ ได้อ่านกันนี่ก็เพราะว่า ผมก็จับพลัดจับผลูได้ไปกับเค้าด้วยเมื่อ Winter Namm ที่ผ่านมานี้ แล้วก็ได้ประสบการณ์สนุกๆ มันส์ๆ มาฝากคุณๆ กันมากโขอยู่ ทีนี้ ทางผู้ประสานงาน (คุณลี แห่ง The Guitar MAG นี่แหละครับ) เขาก็อยากจะให้ผมเขียนแนะนำสำหรับใครๆ ที่ต้องการอยากจะหยอดกระปุกไปเที่ยวงาน Namm นี้บ้าง จะมี วิธีการแบบไหน อย่างไร จะว่าผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ว่าไอ่งานนี้ มันต้องติดต่อที่ไหนอย่างไร ก็ได้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเดินทางไปงานนี้จากคุณต้น คุณใหญ่จากร้านมิวสิค คอนเซปท์ และ คุณกบ จาก อินเตอร์ มิวสิค ช่วยให้ลายแทงว่าต้องเริ่มต้นติดต่ออะไรยังไงก่อนหลัง

ข้อแรกที่สำคัญมากๆ คุณๆ ที่สนใจอยากไปเที่ยวงานนี้บ้าง จะต้องรีบตีซี้กับร้านค้าไว้ก่อนเลยครับ เนื่องจากงานนี้เขาไม่มีการขายบัตร คุณจะมีบัตรได้ก็ต้องให้ทางตัวแทนจำหน่ายเครื่องดนตรีขอให้ แต่ละร้าน แต่ละห้างก็จะมีโควต้าในการมี Guest ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นจำนวนหลักสิบ เมื่อคุณการันตีว่าได้บัตรเข้างาน (ทางงานเขาเรียกว่า Badge) แล้ว สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงอีกเป็นเรื่องต่อๆ มา คือปัญหาที่ซุกหัวนอนยามอยู่ในอเมริกา การจองตั๋วเครื่องบิน การเดินทางในขณะที่อยู่ใน USA และเรื่องของ VISA ที่ต้องเข้าประเทศเขา เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องวางแผนการจัดการให้ถูกต้อง เพื่อความสะดวกของเราเองนั่นหล่ะครับ
            
เรื่องของการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก และการขอ VISA นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวกันกันแบบงงๆ แต่สำคัญมากทีเดียว เดี๋ยวนี้เนื่องจากความต้องการของคนไทยที่ต้องการไปเที่ยว ไปเรียน หรือแอบไปเป็นโรบินฮู๊ดที่ประเทศแห่งเสรีภาพนี้มีมาก  ดังนั้นการขอ VISA จากทางสถานทูตสหรัฐอเมริกาจึงต้องมีขั้นตอนมากอยู่สักหน่อย ก่อนอื่นเลย ผมจะแนะนำให้คุณจองตั๋วเครื่องบิน และ ที่พักก่อน เพราะหลักฐานการจองจะต้องนำไปยื่นในการขอ VISA ด้วย (เพื่อเป็นการยืนยันว่าคุณมีที่พัก และ มีตั๋วขากลับแน่)

            
งาน Namm Show นี้ จัดขึ้นในเมืองที่มีชื่อว่า Anaheim อยู่ใน Los Angeles (จริงๆแปลว่ากรุงเทพเหมือนกันนะ) สถานที่จัดงานจะเรียกว่า Anaheim Convention Center คุณก็ควรจะหาที่พัก ที่ไม่ควรจะไกลจากละแวกนั้นมากนัก การหาที่พักก็ไม่ยากครับ สามารถเสิร์ชและจองจากอินเตอร์เนทได้เลย ถ้าคุณไม่สะดวกในการชำระ หรือ จองด้วยบัตรเครดิต ผมแนะนำให้ใช้บริการบริษัททัวร์ใกล้บ้านให้เค้าช่วยคุณจอง แต่คุณสามารถหาข้อมูลของโรงแรมเบื้องต้นได้ที่ www.agoda.com  หรืออีกวิธีที่ง่ายกว่า คือถ้าคุณสนิทสนมกับร้านค้าที่คุณสามารถขอ Badge จากเขาได้ ก็รบกวนให้เขาช่วยจองที่พักให้เลยก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี จากนั้นเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินก็เป็นเรื่องง่ายแล้วครับ คุณสามารถไปที่บริษัททัวร์ หรือจองผ่านสายการบินที่คุณเล็งๆ ไว้ได้เลย ยังไงก็เช็คนิดนึงว่าในช่วงนั้นๆทางบริษัทไหน มีโปรโมชั่นตั๋วถูกหรือไม่อย่างไร ก็จะได้ประหยัดเงินไว้ไปใช้ในอเมริกาดีกว่าครับ
            
เอาหล่ะ ถึงตรงนี้ ผมก็อนุมานสมมติเอาว่า คุณมีใบจองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบินและ ใบรับ Badge สำหรับเข้างานอยู่ในมือแล้ว ตอนนี้ก็หยิบพาสปอร์ต (ที่มีอายุการใช้งานเกิน 6 เดือน) เอาไว้ แต่อย่าเพิ่งไปสถานทูตให้เสียเวลานะครับ ! อย่างที่ผมเกริ่นไว้แล้วว่า VISA ที่จะเข้าสู่ประเทศอเมริกานั้นมีความต้องการมาก ทางสถานทูตจึงทำการสร้างเวปไซท์นี้ไว้ให้คุณๆ ไปกรอกข้อมูลเพื่อ “จองวันนัดสัมภาษณ์” สำหรับการของทำVISA เข้าประเทศเขา https://thailand.usvisaservices.com/Forms/default.aspx 

คุณๆ จำต้องไปทำการสร้าง Account ก่อนนะครับ และกรอกข้อมูลตามความเป็นจริง หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ คุณได้เอกสารมาชุดหนึ่งพร้อมทั้งเลือกวันที่สะดวกไปสัมภาษณ์ซึ่งกระบวนการการสัมภาษณ์ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากครับ ไปต่อคิวเช็คหลักฐานการยื่น แล้วก็ไปเข้าแถวรอให้ฝรั่งถามเรา (ถ้าเราพูดอังกฤษไม่สะดวกปาก พี่ๆ ฝรั่งเค้าพูดไทยอย่างชัดเลย) คำถามก็จะประมาณว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ไปเพื่ออะไร ทำไมต้องไปอะไรแบบนี้ ยังไงก็ตอบเค้าไปตามความจริงก็แล้วกันครับ ตรงจุดนี้ดวงใครดวงมัน โชคดี
            

หลังจากได้ VISA แล้ว มี Badge แล้ว มีที่ซุกหัวนอน และ ตั๋วเครื่องบินแล้ว ที่นี้คุณก็พร้อมแล้วแหละครับ ที่จะมุ่งหน้าไปผจญภัยในงาน Namm Show คุณจะได้ความสนุกความมันส์อย่างไรนั้น? เดี๋ยวไปว่ากันฉบับหน้าครับ

(ตีพิมพ์ในนิตยสาร The GuitarMAG ฉบับเดือนเมษายน 2555)

Mighty Red Distortion

ถ้าหากจะพูดถึงเอฟเฟคหลักๆ ที่นักดนตรีทั่วๆ ไปใช้กัน สิ่งที่นึกถึงอันดับต้นๆ ก็คงจะเป็น Distortion ที่สามารถไว้วางใจได้สักตัวหนึ่ง มาวันนี้ผมจะนำเอาเอฟเฟคต์ Distortion รุ่นหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันแบบสุดๆ และโด่งดังขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วมากๆ และยังคงเป็นที่นิยมกันอย่างมากจนถึงตอนนี้ ผมกำลังพูดถึงเอฟเฟคต์จากค่าย Mad Professor ที่ชื่อว่า Mighty Red Distortion


Mighty Red Distortion เป็นก้อน Distortion รุ่นแรกๆ ที่ทาง Mad Professor ผลิตออกมาตั้งแต่ปี 2007-2008 นู่น ใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชอบก้อนเสียง Distortion ที่มีย่านเบสฟังกระชับ ย่านกลางและแหลมฟังดูโดดเด่น MRD ก็เป็นหนึ่งในเอฟเฟคต์ที่ค่าย Mad Professor ผลิตออกมาเป็นสองซีรี่ส์คือ Handwired Series และ PCB Series ก็คือ Handwired Series จะใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นระดับที่เรียกว่าเป็น Military Grade คือเป็นวัสดุที่เรียกว่าเป็นระดับเยี่ยมๆ ที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้ว พร้อมด้วยวิธีการผลิตนั้นใช้มือเชื่อมวงจรแบบไม่ง้อเครื่องจักร ส่วน PCB Series ก็จะเป็นซีรี่ส์ที่ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นเกรดที่เรียกว่าดีมาก แต่ไม่ถึงแบบ Military Grade และทาง Mad Professor ก็ไม่ยอมใช้วัสดุจากนอกโรงงานนะครับ เขาใช้วิธีออกแบบและผลิตวัสดุอุปกรณ์ในโรงงานเองเพื่อเป็นการควบคุมการผลิตให้ถึงจุดที่ดีที่สุด แต่เป็นการลดต้นทุนการผลิตที่ทำให้ราคาของ PCB Series ย่อมเยาลงมาพอควรครับ



ผมทดสอบ Mighty Red Distortion กับกีตาร์ Gibson Les Paul Standard ไปเข้าแอมป์ Bogner Shiva เปรียบเทียบกันทั้งสอง Series พบว่า MRD เป็น Distortion ที่เป็นก้อนๆ ที่มีกลิ่นออกไปทาง British Sound ในแบบ Marshall Amp ที่มีย่าน Bass ที่ใหญ่และกระชับ ย่าน Treble ที่คมและ cut-thru ซึ่งตรง cut-thru นี่ เมื่อไปเล่นกับแบนด์ก็มีความสำคัญอยู่มาก เพราะจะฟังค่อนข้างชัดเจนเมื่ออยู่กับกลุ่มเครื่องดนตรีอื่นๆ (ก้อนบางก้อนจะฟังดูดีเมื่อเล่นคนเดียว เวลาไปเล่นกับวง ก็จม แบบนี้ก็มี)

ข้อดีของ MRD น่าจะเป็นปุ่มโทนที่ไม่เหมือนกับโทนซะทีเดียว แต่มันเป็นย่าน Presence ที่ควบคุมเรื่องของย่านเสียงแหลมและจะไม่มีผลกับย่านเบสหรือกลาง จะช่วยทำให้แคแรกเตอร์ของเสียง Distortion เปลี่ยนไป ทำให้เล่นได้หลากหลายขึ้น เหมาะกับนักกีตาร์ที่ต้องการความหลายหลาย เหมาะกับคนที่เล่นแนวๆ Pop/Rock/Metal ได้หลายๆ แนวเลยครับ ส่วนด้านความแตกต่างระหว่าง Handwired และ PCB ที่ฟังออกชัดๆ ก็น่าจะเป็นว่า HW จะฟังแน่นๆ และ texture จะฟังดูละเอียดกว่า ในขณะที่ PCB จะได้ Gain เยอะขึ้น เสียงแตกหนักหน่วงกว่า แต่แคแรกเตอร์เสียงจะเหมือนกันแทบจะ 100% เรียกว่าฟังไม่ออก แต่ผู้เล่นจะรู้เอง โดยสรุป Mighty Red Distortion จากค่าย Mad Professor เป็นหนึ่งในก้อน Distortion คุณภาพ ที่แนะนำให้ลองไปทดสอบดูครับ