วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

Tone Bender MKII

ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรตที่ 60 อุปกรณ์เครื่องดนตรียังไม่มีให้เล่นได้หลากหลายเท่าสมัยนี้ นักดนตรีสมัยนั้น นอกจากเป็นนักกีตาร์ที่เก่งแล้วยังต้องเป็นนักทดลองที่เก่งอีกด้วย จึงสามารถเค้นเอาเสียงหลายๆ แบบออกจากเครื่องไม้เครื่องมือที่มีจำกัด นักกีตาร์หลายๆ คนเช่น Jimmy Page, Jeff Beck และ Richie Blackmore (เป็นต้น) นิยมใช้แอมป์พลิฟายด์มาร์แชลหรือไฮวัตต์ที่แทบจะไม่มีเสียงแตก หรือจะแตกนิดๆ ก็ต่อเมื่อเปิดดังมากๆ (จนหูแทบดับ) และพ่วงเอา FX ก้อนเข้าไปข้างหน้าตู้ สมัยโน้นเสียง Overdrive หรือ Distortion ยังไม่มีครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แพร่หลายมากๆ เรียกว่า Fuzz ไว้เล่นแทน รุ่นนึงที่เป็นที่นิยมสุดๆ คือ Sola : Tone Bender MKII 


Tone Bender MKII เป็น Fuzz ที่ใช้ Germanium Transistor เบอร์ OC84 ซึ่งจะได้เสียงที่แตกต่างจาก Fuzz ตัวอื่นๆ ในยุคนั้น เช่นพวก Fuzz Face ที่ใช้พวก NKT275 ซึ่งมันก็มีผลเยอะอยู่เพราะว่า OC84 จะให้ Gain เยอะกว่า และมีย่านเบสที่ฟังใหญ่และหนักหน่วงกว่า เวลาลดวอลลุ่มก็จะคลีนได้ไม่เท่าพวก NKT เท่าไหร่นัก ปัจจุบันนี้จะหาซื้อ Sola TB MKII รุ่นปีเก่าๆ ต้องใช้เงินคงเป็นหลักแสนบาท แต่ไม่เป็นไรครับ ทางบริษัทที่ชื่อ D*A*M ที่ตอนนี้ได้สิทธิ์ผลิต Tone Bender MKII แท้ๆ ก็ผลิตเป็น Reissue ออกมาโดยใช้พาร์ททุกชิ้น และ เซอร์กิตที่เหมือนกับออริจินัลทุกประการ ขายในราคาราวๆ 400 ปอนด์ (20,000 บาท) แต่ต้องไปลงชื่อใน Waiting List ซึ่งมีคิวที่ยาวราวๆ 18 เดือนเท่านั้น ของผมนี่ต้องไปสอง ebay มาครับ ไม่งั้นรออีกนาน (ไม่นานหรอกน่า)

TB MKII มากับบ๊อกซ์ขนาดค่อนไปทางใหญ่ เหมือนกับตัวเดิมๆ ในยุค 60s ทุกอย่างครับ มีแค่ปุ่ม Volume และ Attack (Fuzz,Gain) เท่านั้น ผมทดสอบ Gibson Les Paul ต่อเข้ากับ TB MKII โดยเล่นผ่าน Marshall 2061 - Marshall 2061cx 2x12 ก็ประทับใจตั้งแต่โน๊ตแรกเลย ซาวด์ที่ได้มันช่างใกล้เคียงที่เคยได้ยินในแผ่น Lez Zeppelin มากๆ ครับ เสียงแตกแบบ Fuzz มันจะฟังเบลอๆ ล้นๆ หน่อย แต่เสียงใหญ่โตอลังการมากครับ แตกต่างจากรุ่นพวก Clone ที่ผมเคยเล่นไปไกลลิบ เวลาลดวอลลุ่มลง เสียงก็ไม่ได้คลีนสนิทมากครับ ยังมีแตกปลายๆ นิดๆ แต่ยังมี Clipping ที่ยังฟังคล้ายๆ พวก Transparent Overdrive อยู่ ซื้อเถอะครับ ถ้ามีโอกาส เป็น Fuzz ที่ดีมากๆ ตัวนึง ถ้าคุณชอบเสียงคลาสิคร๊อคในแบบ Jimmy Page, Jeff Beck พวกนี้ 


VDO Clip From "It Might Get Loud"
                                         

VDO From Pinstripedclips
                                         

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

Tim Overdrive


ย้อนกลับไปสัก 7-8 ปี ถ้าเราๆ ท่านๆ จะหาบูที๊กโอเวอร์ไดร์ฟสักก้อนชื่อของ Paul C. Audio จะต้องเป็นก้อนแรกๆ ที่นึกถึงแน่ๆ เพราะ ณ ตอนนั้นมีก้อนโอเวอร์ไดร์ฟไม่กี่ตัวที่อยู่ในแถวหน้าๆ ไล่ชื่อดูก็จะเห็นว่ามี Klon Centaur, Zendrive, King Of Tone แล้วก็จะได้ยินชื่อ Tim และ Timmy Overdrive นี่แหละ วันนี้ผมจะเอาตัว Tim Overdrive มาคุยกันก่อน


Tim Overdrive จากค่าย Paul C. Audio เป็นรุ่นบ๊อกซ์ใหญ่จากสองก้อนที่เขาผลิต เป็น Overdrive ที่มี Feature เยอะกว่าตัวเล็ก Tim มากับบ๊อกซ์ขนาดค่อนไปทางใหญ่และสูง ทำสีออกน้ำเงินเข้มแบบเดียวกับ Timmy โดยมี Knobs ควบคุม Gain - Bass- Treble - Volume และมีเพิ่มปุ่ม Boost และ Loop Send-Return เข้ามาอยู่ในก้อนเลย เรียกว่าถ้ามี Delay/Reverb/Modulation ก็ Loop เข้าไปในก้อนได้เลยทีเดียว ไฟก็ใช่ 9 volt ปรกติเลยครับ

ผมทดสอบ Tim Overdrive โดยใช้ James Tyler : Studio Elite (เปลี่ยนปิ๊กอัพเป็น Kinman AVn62 N&M) ผ่าน Tim ใช้แอมป์ Komet : Songwriter 30 + Marshall 2061cx Cabinet เสียงที่ได้นั้นจะฟังออกเป็นเสียงโอเวอร์ไดร์ฟที่ค่อนไปทางขุ่นเล็กๆ เหมือนที่เค้าเรียกว่า Brown Sound นั่นหล่ะครับ การควบคุมของโทนของ Tim จะแปลกหน่อยคือ คือหมุน Bass/Treble ไปทางขวาจะเป็นการ Cut ย่านทุ้ม/แหลมแทน แรกๆ อาจจะไม่คุ้นหน่อย หมุนๆ ไปเดียวก็คุ้นเคย


Tim Od มีเสียงแตกมาให้ใช้ค่อนข้างเยอะสามารถเล่นเป็น Light Overdrive ไปจนถึง Mid-Gain Overdriver ได้ แถมมี Boost ที่เมื่อกดใช้งานแล้วเสียงจะดังขึ้นอีกเล็กน้อย ได้เกนท์เพิ่มอีกนิดหน่อย และสามารถควบคุม Tone/Drive ของ Boost ได้จาก Knobs ด้านหลังตัวก้อน และ Send-Return ที่อยู่ติดกัน ผมลองใช้ Reverb ต่อเข้าไปก็ทำงานได้ดีครับ แต่จริงๆ ต่อไว้ด้านหลังตามปรกติก็ได้อยู่แล้ว Feature นี้ก็อาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก โดยสรุปก็ถือว่าเป็นก้อนที่คุ้มค่าครับ เล่นได้หลากหลาย มีย่านเสียงให้เลือกเล่นได้กว้างครับ


Thank you GoGuitarLive For VDO Clip