เมื่อฉบับที่แล้ว ผมก็พูดถึงเรื่องการเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่ Namm Show ที่ประเทศอเมริกาแล้ว เอาเป็นว่าถ้าตอนนี้ขั้นตอนต่างๆ เช่นการจองตั๋วเครื่องบิน บัตรเข้าสู่งาน และคุณมีวีซ่าครบถ้วนแล้ว สิ่งที่คุณจะต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการเดินทางภายในอเมริกา ถ้าคุณสามารถขับรถได้ และมีใบขับขี่สากล ผมแนะนำให้เช่ารถ ด้วยว่าจะเป็นวิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด หรือถ้าไม่มีใบขับขี่ แล้วจำเป็นจะต้องเดินทางด้วยตัวเอง ผมก็จะแนะนำให้ใช้ Airport Bus ครับ จะมีบริการในสนามบินนั่นแหละ สนนราคาการเดินทางจาก LAX ไป Anaheim ก็จะราวๆ $15-$20 ก็คือราวๆ ไม่เกิน 600 บาท
และการเดินทางภายใน Anaheim ถ้าไม่มีรถเอง ก็อาจจะใช้บริการแท๊กซี่ที่มีอยู่เยอะแยะภายในเมืองเอง ถ้าเดินทางจากโรงแรมไปสู่ Convention Centre ก็อาจจะให้ทางโรงแรมเรียกให้ (หรือปรกติ โรงแรมแถวนั้นเค้าก็จะมี Shuttle Bus คอยบริการฟรี แต่รอบของการเดินรถอาจจะไม่ถี่) และเดินทางกลับจาก Convention Centre ก็แท๊กซี่เช่นเดียวกันครับ อาจจะต้องคอยคิวนานหน่อย แต่มีเรื่อยๆ แน่นอน
ข้อเสียเปรียบของการที่ไม่มีพาหนะใช้เองแบบนี้ ก็คือคุณๆ อาจจะไม่สามารถออกไปเที่ยวนอกเส้นทางได้เลย เพราะการเดินทางแต่ละที่ค่อนข้างไกล จำเป็นมากๆ ที่จะต้องใช้รถเป็นพาหนะพาไปในแต่ละที่ แต่ทั้งนี่ทั้งนั้น ในละแวกเมือง Anaheim ก็มีร้านอาหาร มีแหล่งช๊อปปิ้ง มี Disneyland มีหลากหลายแหล่งให้คุณได้เดินเล่น ชมวิวอะไรต่ออะไรอยู่พอสมควรอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าไม่มีรถไปไหนมาไหน วนเวียนอยู่แถวๆ นั้นก็ไม่เลวครับ
มาสมมติกันต่อครับ ตอนนี้เอาเป็นว่าคุณก็มาพักอย่างสบายในโรงแรมที่พักเพื่อที่จะรอไปตลุยงานแสดงสินค้าเครื่องดนตรีที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลกงานหนึ่ง สิ่งที่ผมแนะนำให้เตรียมตัวในวันแรกที่คุณๆ ไปถึงงานก็คือตระเตรียมของขบเคี้ยว หรือแซนวิชอะไรง่ายๆ ที่หาซื้อได้ใกล้ๆ โรงแรม ไปกับคุณด้วย เพราะการซื้ออาหารในงาน เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าสาหัสจริงๆ คิวยาว คนเยอะ เร่งรีบสุดๆ การมีอาหารติดกระเป๋าไปเอง ประหยัดเวลาและไม่ต้องต่อคิวแน่ๆ และผมก็แนะนำให้ไปเช้านิดหนึ่งครับ เพื่อไปเข้าแถวรับสิ่งที่เรียกว่า Badge ก็คือบัตรเข้างานนั่นเอง หลังจากที่คุณได้อีเมลล์ตอบรับเรื่องการสมัครขอ
บัตรไปแล้ว (อ่านในตอนแรก) ทาง Namm จะให้เลขมาชุดหนึ่งทางอีเมลล์ แนะนำให้คุณปริ๊นมาเก็บไว้ และยื่นในเจ้าหน้าที่เพื่อเขาจะทำการปริ๊นเจ้า Badge นี่ให้คุณ นำไปแขวนคอเอาไว้ตลอดงาน ข้อดีของเจ้า Badge นี้ก็คือเป็นบัตรผ่านประตู และ เป็นสิ่งที่ใช้แนะนำตัวคุณด้วย เพราะฝรั่งและคนในงานจะมองป้ายของคุณก่อน ถ้ารู้จักกัน หรือเคยตกลงธุรกิจกัน เค้าจะรีบทักทายกับเราเลยครับ
อย่างที่ผมบอกครับ ว่างาน Namm Show นี้ ใหญ่มากๆ จริงๆ ถ้าคุณเดินเสปะสปะไปเรื่อยๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี และอาจจะเดินไม่ครบ ไม่หมดอย่างที่ใจคุณอยาก ส่วนตัวแล้วผมใช้วิธีกำหนดการเดินในวันแรก ไล่ไปทีละ Hall โดยจะดิ่งไปพบกับกลุ่มซัพพลายเออร์ของผมก่อน เมื่อหมดแล้ว ก็เดินย้อนกลับขึ้นมา โดยจะมุ่งประเด็นไปยังการหาซัพพลายเออร์เจ้าใหม่ๆ (ที่ผมทำการติดต่อไว้เบื้องต้นแล้ว) การเดินแบบนี้ ผมมีผู้ช่วยครับ คือถ้าหากคุณเป็นคนที่ใช้งาน iPhone หล่ะก็ง่ายเลย เพราะทาง Namm เขาได้ทำ App สำหรับ iPhone เอาไว้ ชื่อว่า NAMM 2012 (เข้าใจว่าปีหน้า คงเป็น 2013) ใน app ที่ว่าจะช่วยคุณได้อย่างมากๆ เลยครับ ว่าแต่ละแบรนด์ แต่ละบู๊ทเค้าตั้งกันอยู่ตรงไหน เรียงตาม Hall ไปเลย ด้วยวิธีนี้ ทำให้คุณๆ เดินในงานอย่างตามเป้าประสงค์ได้เลย
สำหรับผมแล้ว Namm 2012 ตื่นตาตื่นใจมากๆ ด้วยอาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้ไปและที่ผมตั้งใจเก็บมาฝากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ชาวกีตาร์แมค ก็คงจะเป็นเรื่องของกีตาร์แบบล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นแอมป์ กีตาร์ หรือ เอฟเฟคต์
Ritter Guitars:
กีตาร์แบรนด์นี้ เป็น Handcraft จากเยอรมันนีเป็นงานกีตาร์ที่ ดูแล้วแปลกตามากๆ ผมไปแอบดูตามสเปกส์แล้ว ก็เป็น ไม้ที่ปรกติเราๆ ได้เห็นกันครับ คือบอ ดี้ เป็น Alder / Ash อะไรแบบนี้ แต่ดีไซน์ออกแบบได้สวยมากๆ จริงๆ สนนราคาก็ราวๆ ตัวละ 10,000 ยูโร หรือราวๆ ห้าแสนบาทไทย (เท่านั้น!!)
Analysis Plus Cables:
1. Gold Oval เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกันที่เคยเห็นสายเคเบิ้ลสำหรับเครื่องดนตรีที่ถักด้วยทอง 99% ทั้งเส้น ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันนำสัญญาณได้ดีมากขนาดไหนแต่ที่แน่ๆ สนนราคาเส้นนี้ขนาดความยาว 3 เมตร มันอยู่ที่ราวๆ 150,000 บาท
2. Green Bullet Cable ฟังพี่ Mark Makel เค้าเล่าว่าเป็นสายสัญญาณของกีตาร์ที่เขาได้ออกแบบมาใหม่เพื่อคนที่ชื่นชอบในสายกลุ่ม Yellow Flex เดิม ที่ใช้งานแบบสมบุกสมบัน จุดเด่นคือการนำสัญญาณเสียงได้แบบไม่ผิดเพี้ยน และเติมความเท่ห์ด้วยการใช้หัวแจ๊คหน้าตาคล้ายกระสุนปืน
Martin Guitars
1. D-100 กีตาร์มาร์ตินรุ่น D-100 ผมได้เห็นตัวเป็นๆ ซักทีครับ เป็นกีตาร์ทรง D ที่มีการฝังมุกอย่างอลังการมากๆ สวยงามมากๆ ตัวนี้ สี่ล้านบาท
2. OO45SC-John Mayer ทุกๆ ปีผมจะต้องเห็นชื่อของนายจอห์นนี่โผล่ขึ้นมากับกีตาร์ดีๆ ดังๆ ไม่ว่าจะเป็น Fender เมื่อคราวออก Black One มาปีนี้ เขามาออกกีตาร์โปร่งให้กับ Martin และเป็น Limited Edition เสียด้วย สาวกจอห์น เมเยอร์ ก็ไม่น่าพลาดนะครับ (สนนราคาประมาณสามแสนบาท)
Gig FX: ผมผ่านมาที่ซุ้มของ Gig FX มีคุณน้องลูกสาวเจ้าของเค้าชวนผมคุยอยู่พักใหญ่ก่อนที่คุณน้องเขาจะบอกว่าอีกราวๆ 5 นาที มือกีตาร์สาย Country/Fusion ที่ชื่อ Johnny Hiland จะแวะมาเล่นที่ Booth ของเธอ ผมเลยได้ดูมือกีตาร์คนนี้เล่นด้วย เก่งมากๆ และประทับใจมากๆ
ในฉบับนี้ เนื้อที่หมดซะแล้วครับ เดือนหน้ายังมาต่อภาคสามกัน และผมจะนำคุณๆ ไปชมบู๊ทที่น่าสนใจอีกหลายๆ บู๊ท พร้อมทั้งไปดูกันว่า ไปเที่ยวงานนี้ ผมได้เจอคนดังๆระดับโลก มีใครกันบ้าง เจอกันฉบับหน้าครับ
(ตีพิมพ์บนนิตยสาร The Guitar MAG เดือนพฤษภาคม 2555)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น