วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

BKP Painkiller Set

ระยะนี้ตลาดสายโมด์กีตาร์คึกคักกันมากนะครับ ผู้ใช้งานเริ่มเปิดใจรับอะไรที่มาตรฐานสูงตามราคากันมากขึ้นเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาด Guitar Pickups นั้น User เริ่มยอมลงทุนกับของดีๆ มาตรฐานสูงๆ ซึ่งราคาไม่ได้ถูก แต่มีคนใช้งานเยอะขึ้นเรื่อยๆ

บทนี้ผมมีโอกาสได้ลองทดสอบ Pickups ชุดหนึ่งซึ่งนำตลาด Premium Pickups มานานหลายปี คือค่าย Bare Knuckle Pickups จากอังกฤษ ชุดนี้เรียกว่า Painkiller Humbucker Set ซึ่งทางผู้ผลิตใช้ชื่อ Reference ถึงเสียงในแบบ Judas Priest ยุคใหม่ ผมจิตนาการไว้ว่าเสียงต้องเป็นสไตล์ Output แรงๆ ดุๆ กระด้างๆ หน่อย ในความเป็นจริงแล้ว เป็นอย่างไร เดี๋ยวเรามาตามกัน


ผมได้ทดสอบ Pickups ชุดนี้ติดมากับกีตาร์ Fender Telecaster Jim Root Signature โดยเปลี่ยนจาก EMG มาเป็น Painkiller Set และเปลี่ยนจากคอขาว มาเป็นคอดำแทน Pickups ชุดนี้นั้นมากับฝาครอบที่เรียกว่า Black Battleworn คือทำสีดำสนิทและมีรอยถลอก ดูเท่ห์มากๆ น่าจะมีแต่ BKP ที่ Offer ลูกค้าด้วยอ๊อปชั่นฝาครอบสวยๆ หลากหลายชนิดครับ ทีนี้มาด้านเสียง พบว่าสิ่งที่แตกต่างกันชัดเจนแบบไม่ต้องมโนเลยคือเสียงคลีนที่ฟังนุ่มนวลกว่าของเดิม มีความเป็นเม็ด เป็นลูกที่ไม่มีความแข็งกระด้างเหลืออยู่ และบาลานซ์ทั้ง 6 สายดีมากๆ (ลองฟังจากคลิปด้านล่างดูนะครับ) ทั้งนี้ ผมใช้แอมป์ Krank รุ่น Krankenstein บันทึกเสียงนะครับ โดยแต่เดิม Kranken นี่ก็ให้เสียงคลีนค่อนข้างแข็ง แต่ชุด Painkiller นี่ช่วยให้ซอฟท์ลงเล่นง่ายขึ้นอีกเยอะครับ

Official VDO แชร์กันได้นะครับ


ผมลองเล่นโดยเติม Drive เข้าไปนิดหน่อย ก็ยังสามารถเล่น Picking Style ได้แบบไม่เสียโทนเสียงและบาลานซ์ระหว่างสายก็ยังดีมากเหมือนเดิม เมื่อเปิด Drive มากๆ เข้าไปก็ยังรักษาระดับบาลานซ์ได้ดีเยี่ยม และเสียงก็โหดขึ้นตามจำนวน Drive ที่ใส่เข้าไป เมื่อเล่นพวก single note ก็ได้เสียงกลมๆ หนาๆ ชัดๆ จาก Neck Pickup และเสียงค่อนไปทางกร้าวๆ เมื่อใช้ Bridge Pickup - Bare Knuckle Pickups ชุด Painkiller Humbucker Set ไม่ได้ทำได้แต่เสียงโหดๆ แต่สามารถสร้างเสียงละมุนละไมได้อีกด้วยครับ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนกำลังหาโมด์กีตาร์ตัวโปรดของคุณให้ได้เสียงค่อนข้างครอบคลุมเล่นได้แทบจะทุกแนวดนตรี ชุดนี้ไม่ผิดหวังครับ


วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Simble Overdrive

     ช่วง 5 ปีหลังมานี้ผู้ผลิตเอฟเฟคต์ก้อนหลายๆ แบรนด์เริ่มหันมาพัฒนาเสียงของ Overdrive ไปในทิศทางคล้ายๆ กัน โดยชูธงเอาเสียงของแอมป์พลิฟายด์ที่เรียกได้ว่าหายากที่สุด และราคาพุ่งไปแพงมากที่สุด Dumble Overdrive Special คือชื่อของแอมป์ตัวนั้น - DOS นี้เป็นแอมป์ที่นิยมมากๆ สำหรับนักกีตาร์สาย Blues / Jazz / Rock ที่ต้องการโทนเสียงกลมๆ เบสใหญ่และลึก มีไดนามิกดี ซึ่งจะซื้อแอมป์รุ่นนี้ ณ ปัจจุบันนี้ น่าจะต้องใช้เงินมากกว่าหนึ่งล้านแปดแสนบาท คุณอ่านไม่ผิดครับ หนึ่งล้านแปดแสนบาทจริงๆ ($50,000) แอมป์รุ่นที่พูดถึงนี้สร้างสรรค์ผลงานให้กับ Carlos Santana / John Mayer / Robben Ford / Larry Carlton มานักต่อนักแล้ว และเป็นหนึ่งในเสียงที่นักกีตาร์ตามหาเยอะที่สุดเสียงหนึง


     พอสังเขปกันแล้วกับเรื่องของ Dumble Overdrive Special ช่วงนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องเอฟเฟคต์ก้อนที่ทางบริษัท Mad Professor จากประเทศ Finland ผลิตออกมาโดยมีแอมป์ DOS นี้เป็นต้นแบบ เขาเรียกเจ้าก้อนเล็กๆ นี้ว่า Simble Overdrive

      Simble มาในรูปแบบของเอฟเฟคต์ก้อนขนาด Compact ไม่เปลืองเนื้อที่บอร์ด และถูกออกแบบมาให้ใช้ไฟได้ตั้งแต่ 9v ไปจนถึง 12v และใช้ไฟเพียง 10mA เท่านั้นเอง  มีปุ่มมาให้ปรับ 4 ปุ่มคือ :

Level : ควบคุมความดังเบาของตัวก้อน
Sensitivity : ควบคุมความมากน้อยของ Gain
Contour : ควบคุม Tone ของตัวก้อน
Accent : ควบคุม Pick Attack (ส่วนนี้ผมชอบมาก สำหรับคนที่ชอบดีดแล้วฟัง Pick Attack ที่หัวโน๊ต)


     ผมทดสอบ Simble Overdrive ต่อตรงๆ เข้ากับ UA Apollo Twin บันทึกเสียงโดย Logic Pro X พบว่า Simble เป็นเสียง Overdrive ที่มีไดนามิกที่ดีมากๆ ดีดเบา ดีดแรง มีผลต่อเสียง และ touch อย่างมาก ปรับ Contour มาทางซ้ายจะให้เสียงที่ dark ลงนิดหน่อยเหมาะกับทาง Jazz และปรับ Contour ไปทางขวาเยอะหน่อย เสียงจะฟังสว่างขึ้น เมื่อเพิ่ม Sensitivity ไปทางขวาก็จะฟาด Rock ได้สบายๆ

     Mad Professor เชื่อถือได้เลยในการดีไซน์ Overdrive ดีๆ และ Simble Overdrive นี่ก็เช่นกัน ตัวนี้อาจเป็นเสียงที่คนรัก Jazz / Blues / Rock มองหา และสำหรับคนที่ต้องการเสียงแบบ Dumble Overdrive Special - ก้อนเล็กๆ ก้อนนี้ ให้เสียงที่แพงเหลือเชื่อครับ

*** ลองฟังคลิปด้านล่างดู ทาง Mad Professor ได้ทำคลิปทดสอบเปรียบเทียบระหว่าง Simble Overdrive กับ Dumble Amp จริงๆ ***






วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ยืดอายุการใช้งานแอมป์กัน




ถ้าเพื่อนๆ ที่ตามอ่านอยู่นี้มีแอมป์เล่นกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ ที่มีแอมป์ที่ฝรั่งเรียกว่า Tubes Amp หรือ Valves Amp - สองคำนี้เหมือนกันนะครับ คือหมายถึงแอมป์ที่ใช้หลอดสุญญากาศเป็นกำลังขับ เพียงแต่ American Eng ใช้ Tubes ส่วน Brit Eng ใช้คำว่า Valves -

แอมป์ต่างๆ โดยเฉพาะแอมป์หลอดนั้น มีอายุการใช้งานของมันอยู่ครับ เหมือนกับเครื่องไฟฟ้าทั่วๆ ไป ถ้าเราดูแลรักษามันดีๆ มันก็จะใช้งานได้นาน และอยู่กับเราไปอีกนานเลย ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่าแอมป์หลอดนั้น มีความ Sensitive มากกว่าพวก Transistor ที่ไม่ใช้หลอดอยู่มาก ไฟกระชากครั้งเดียวก็อาจจะทำให้เสียงเปลี่ยนไปเลย หรือเซอร์กิตมีปัญหาได้ทันที ดังนั้นแล้วต้องระมัดระวังเอาใจใส่เขานิดนึง

วิธีการดูและรักษาง่ายๆ สำหรับแอมป์หลอด ก็มีดังนี้ :

1. การ Bias แอมป์นั้นต้องเหมาะสมกับแอมป์นั้นๆ คิดเหมือนรถยนต์ดูนะครับ ถ้าเราตั้งคันเร่งแรงไป รถก็จะมักจะพุ่งไปข้างหน้าแบบเร็วเกินไป ถ้าตั้งต่ำเกินไปรถก็จะสะดุดๆ เวลาเราเร่งเครื่อง - แอมป์ก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าเราตั้ง Bias ให้ Hot เกินไป วงจรก็จะทำงานหนักกว่าที่เขาถูกออกแบบมา ทำให้หลอดเสื่อมสภาพเร็วเกินไป และมีความร้อนสูงมาก อาจจะทำให้เซอร์กิตเสียหายได้ และถ้าตั้งต่ำ หรือ Cold เกินไปก็จะทำให้แอมป์ทำงานได้ไม่เต็มที่ เสียงอาจจะแห้งเกินไป ดังนั้นการตั้ง Bias ของแอมป์ก็ควรจะให้เหมาะสมกับ Spec. - แนะนำให้ช่างผู้ชำนาญการตั้งให้จะดีที่สุด

2. ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนง่ายๆ แต่ผู้ใช้งานแอมป์หลอดส่วนใหญ่มักจะมองข้ามกันเสมอ คือโดยปรกติแอมป์จะมีสวิทช์ Power และ Stand By อยู่สองอันเสมอ - ให้เปิด Power ก่อนเพื่อวอร์มหลอดอย่างน้อยๆ 1 นาที ก่อนที่จะเปิด Stand By เพื่อใช้งาน แค่ขั้นตอนนี้ขั้นตอนเดียว ก็ยืดอายุการใช้งานของหลอดได้หลายแล้วครับ

3. ขั้นตอนนี้ก็เป็นอีกจุดที่มองข้ามกันเสมอๆ เช่นกัน - การใช้แอมป์หลอดที่ถูกเคลื่อนย้างจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งนั้น ต้องวางทิ้งไว้เฉยๆ ให้แอมป์ปรับสภาพกับอุณหภูมิห้องเสียก่อน เช่นยกลงจากรถร้อนๆ มาที่เวทีที่มีความเย็นมากกว่า คำแนะนำคือวางทิ้งไว้สักครู่ก่อนที่จะเปิด Power เพื่อยืดอายุการใช้งานวงจร และหลอดของแอมป์

4. หลีกเลี่ยงการนำเอาเครื่องดื่ม น้ำ วางไว้บนแอมป์ แอมป์พลิฟายด์ใช้ไฟฟ้าในการทำงาน และไฟฟ้า กับ น้ำ เข้ากันไม่ได้เลยครับ การไม่วางเครื่องดื่มบนแอมป์นอกจากจะหลีกเลี่ยงการหกของของเหลวไปสู่แอมป์แล้ว ยังช่วยยืดอายุคนเล่นเพื่อที่จะไม่ถูกไฟดูดได้นะครับ !!

5. อย่าทนใช้หลอดที่เสื่อมสภาพ อันนี้ถ้าเพื่อนๆ คุ้นชินกับเสียงแอมป์ของตัวเองแล้ว จะทราบเองเมื่อหลอดเสื่อมสภาพ เพราะเสียงแอมป์จะเปลี่ยนไป เช่นเสียงเบาลงเรื่องๆ หรือเสียงบางลงกว่าปกติ หรือมีอาการเสียงวูบดังเบาสลับกัน และถ้ามองเห็นตัวหลอดที่จะเริ่มมีฝ้าขาวเนื่องจากการสูญเสียความเป็นสุญญากาศ นั่นก็เป็นนิมิตรหมายอันดีที่จะต้องเปลี่ยนหลอดแล้วหล่ะครับ - การเปลี่ยนหลอดนั้น ถ้าเป็น Power Tubes/Valves ก็แนะนำให้เปลี่ยนรวดเดียวหมด หรือเปลี่ยนเป็นคู่ เพื่อการทำงานที่ดี และ สม่ำเสมอกันครับ

ครบ 5 ข้อไปแล้ว แต่อยากจะแถมให้อีกข้อหนึ่ง คือการใช้แอมป์หลอดในการแสดงสดนั้น ต้องมั่นใจอย่างมากว่าไฟที่จ่ายเข้าสู่แอมป์เป็นไฟที่นิ่งพอ ไม่สะดุด ไม่กระชาก เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายกับวงจรอย่างแน่นอน ถ้าไม่มั่นใจ การใช้ Stabilizer ดีๆ ช่วยยืดอายุงานของแอมป์ของคุณได้อย่างมากเลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Mighty Red Revisited

หลังๆ ไปเจอคำถามยอดฮิตมาคำถามหนึ่ง ก็คือ Mad Professor นั้นผลิตก้อนเสียงแตกออกมาเป็นสอง Series นั่นก็คือ Handwired (HW) และ Factory (PCB) จึงเกิดคำถามว่า สอง Series นี้มันแตกต่างกันยังไงเพราะราคานั้นผิดกันแบบ 30%-40% เลย วันนี้ผมเลยจะหยิบประเด็นนี้มาเล่าให้ฟังกัน ตอนนี้ในมือผมมีรุ่น Mighty Red Distortion ซึ่งเป็นรุ่นยอดฮิตเลย และมีทั้งสองแบบคือ HW และ PCB 


เรามาว่ากันถึงความแตกต่างทางรูปลักษณ์กันก่อนครับ HW จะมากับกล่องขาว และติดสติ๊กเกอร์แบรนด์และรุ่น ดูมีความเป็น Boutique เต็มรูปแบบ เปิดกล่องออกมาจะมีแผ่นพับอธิบายการใช้งานอย่างละเอียด ตัวก้อนจะมีน้ำหนักมากกว่า มีการสกรีนเคลือบสีมี Texture และหนากว่า และมีช่องเสียบไฟเป็นลักษณะกลม ส่วน PCB จะมากับกล่องที่ดูเป็น Mass Production หน่อยครับ มีสกรีนรูปก้อนสวยงาม ตัวก้อนจะเบากว่า การลงสีบนก้อนจะดูบางกว่า และช่องเสียบไฟจะเป็นสี่เหลี่ยมเสมอกับตัวก้อน และน้ำหนักเบา


ผมเคยสอบถามทาง Harri เจ้าของ Mad Professor ก็ได้ความว่า HW นั้นจะเป็นการเชื่อมวงจรโดยการใช้มือทำ และใช้ Circuit Board ชนิดราคาสูง และ Components ต่างๆ ก็จะใช้แบบ Military Grade ทั้งสิ้น ส่วน PCB นั้นจะผลิตโดยใช้เครื่องจักร และลด Cost ลงมา เพื่อให้นักกีตาร์ที่สนใจอยากใช้งาน Mad Professor แต่ไม่มีงบไปซื้อหา HW จะสามารถได้ใช้งาน PCB ทดแทนกันได้ เพราะเขามั่นใจว่า Character นั่นเหมือนกัน 

ผมทดสอบ Mighty Red Distortion กับ Kiesel V6 ผ่าน MRD PCB/HW ไปออก Bogner ATMA / ATMA 1x12 พบว่า Character ของ MRD นั้น ยังคงไว้เนื้อเชื่อใจได้ ในแบบ British Distortion มีย่านเสียงเบสหนักแน่น เสียงกลาง Scoop นิดๆ และย่านแหลมฟังสดใส แต่ไม่บาดหู ส่วนที่แตกต่างที่ฟังออกได้คือ HW จะมีโลว์เอนด์ที่หนักหน่วงเป็นลูกๆ มากกว่า ในขณะที่ PCB มี Gain เยอะกว่าแต่เบสไม่แน่นเท่า ย่านเสียงกลางพอๆ กัน และ Texture ของ HW จะฟังสุภาพกว่า ในขณะที่ PCB ออกดิบๆ กว่าหน่อย ส่วนตัวแล้วสำหรับผม HW จะฟังดูเป็น British Distortion ที่ดุแต่ไม่ดิบ ในขณะที่ PCB อาจจะไม่ลุ่มลึก แต่เถื่อนสาดกว่าครับ ชอบแบบไหน ต้องไปลองเอาเองเลยครับ ดีทั้งคู่

** คลิปเปรียบเทียบจะทะยอยตามมาครับ ตอนนี้ชมคลิปทดสอบเสียงจาก Mad Professor ไปก่อน **


วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Bogner : La Grange

     ช่วงหลังๆ นี้กระแส Hi-End Multi-Effects มาแรงมากครับ หลายค่ายทำ Multi-Effects ดีๆ ออกมาให้เล่นกันเยอะเลย คนเล่นก้อนก็อาจจะดูหงอยๆ ไปบ้าง แต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทผลิต Boutique Amp ที่มีชื่อเสียงคือ Bogner Amplifications ได้ออกก้อนใหม่ออกมา ที่จริงข่าวว่าจะออกก้อนนี้มาตั้งแต่ช่วง NAMM Show ปี 2014 โน่นแล้ว มีโปรโตไทป์ออกมาให้น้ำลายหกกัน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ออกมาซะที จนเนี่ยครับ เมษายนปีนี้เอง Bogner ได้ฤกษ์ออกก้อน Overdrive/Distortion/Boost ที่เรียกว่า La Grange มาจนได้


Bogner ตั้งคอนเซปท์ก้อนนี้ไว้ว่า Texas Meets British ครับ เท่าที่ตามข่าวดู ทางผู้ผลิตตั้งใจจะให้เป็นก้อน Overdrive/Distortion ที่มีความหลากหลาย และพยายามจะจับทางเสียงแอมป์ที่ตัว Reinhold Bogner เคยโมดิฟายด์ไว้ในช่วงต้นยุค 80s และจาก Helios ที่ Bogner เพิ่งออกเป็นแอมป์มาเมื่อสองปีก่อน

La Grange มากับกล่องดีไซน์ใหม่สวยงาม และตัวเอฟเฟคต์เป็นสีทองสวยงามเลยทีเดียวครับ มีปุ่มควบคุมทั้งหมดที่หน้าตัวก้อน 5 ปุ่ม และ 4 Toggle Switch และปุ่มเหยียบอีก 2 ปุ่ม การควบคุมเข้าใจไม่ยากครับ มี Volumn คุมความดังเบา / Gain คุมจำนวน Distortion ที่ต้องการ / Tone คุมความทุ้มแหลมของตัวเอฟเฟคต์ ส่วน Ch.Blend คือการจำลองการเจือเสียงของแชนแนลทุ้ม และแหลมจากตัวแอมป์เข้าด้วยกัน (นึกถึงพวก Marshall ปีเก่าๆ ที่แชนแนลทุ้มแหลมหล่ะครับ เหมือนกัน) 

ส่วน Toggle 4 ปุ่มแถวบน ถ้าใครคุ้นเคยกับ Series นี้ของ Bogner ก็พอจะทราบบ้างครับ Toggle Gain เอาไว้ปรับเป็น Low – Mid และ Hi Gain ทางด้าน Low จะเป็นเสียงแบบ Overdrive เลยครับแตกไม่มาก มีความ Brown (ขุ่น) ปรับเป็น Mid Gain จะได้เสียง Classic Rock Distortion ไดนามิกดีมาก เล่นหนักเบาได้ตามน้ำหนักมือเลย และสุดท้าย Hi Gain Mode ก็เป็นลักษณะแบบ Metal Sound ครับ เล่นได้กว้างมากก้อนนี้
ถัดมาเป็น Variac ก็จะเป็นการจำลองการลดวัตต์ของแอมป์ เพื่อที่จะให้แตกเยอะขึ้น มี Compression มากขึ้น มาถึง Presensce ก็จะเป็นเลือกเสียง Mid-Hi ให้คมขึ้นแล้วแต่ว่าใช้แอมป์แบบไหนอยู่ ถ้าแอมป์แหลมอยู่แล้ว ก็ปรับเป็น Low Presence เพื่อไม่ให้แหลมเกินไป หรือถ้าใช้แอมป์ที่เบสหนาแหลมน้อย ปรับไปเป็น Hi Presence ก็จะช่วยได้ครับ
สุดท้ายเป็น Structure Toggle ตรงนี้ผลอาจจะไม่ค่อยชัดเจน แต่ถ้าเล่นในวอลลุ่มที่ค่อนข้างดังจะฟังชัดว่าเป็นการปรับย่านเสียงเบสให้แน่นเต็ม (วงกลมเข้ม) หรือจะให้เบสฟังดูไม่แน่นมาก (กลมขาว) หรือคัทย่านเบสออกนิดหน่อย แต่เพิ่มความกระชับ (จุดดำเล็ก)

สุดท้ายก็จะมีปุ่ม On ไว้ใช้เปิดปิดตัวเอฟเฟคต์ และ Boost คือเปิดปิดบู๊ส โดยควบคุมที่ Knob สีขาว ซึ่งมาถึง La Grange นี้ ทาง Reinhold ดีไซน์ให้แยกใช้งานได้แล้วครับ สามารถใช้เป็น Clean Boost แยกต่างหากได้เลย


มาพูดถึงเสียงกันบ้าง ผมทดสอบ Bogner : La Grange กับ Stranberg Boden OS6 และ Komet K50 ร่วมด้วย Komet Cabitnet 2x12 บอกได้เลยว่านี่เป็นก้อนเสียงสไตล์ British Amp (หรือนิยมเรียกกันว่า Marshall Style) ที่น่าจะดีที่สุดในช่วง 3-4 ปีนี้เลย และคุ้มค่าการรอคอยอย่างมาก ด้วยเนื้อเสียงที่หน้าใหญ่  มีเสียงกลางที่เป็นเอกลักษณ์ ตามสไตล์ Brit Amp และไดนามิกที่กว้างไม่ว่าจะดีดเบา ดีดแรงเขาตอบสนองได้เยี่ยม ปรับเป็น Overdrive ก็ได้เสียงแนวๆ Classic Tube Screamer Overdrive ที่แตกไม่มาก แต่เนื้อแน่น เบสฟังชัด กลางไม่จม และในโหมด Hi Gain อาจจะต้องลด Gain ลงหน่อย และเร่ง Volume ขึ้นอีกจะฟังได้อารมณ์พวกสาย Metal  ได้ไม่ยากเลยครับ

ต้องซูฮกให้กับการออกแบบที่เนี๊ยบของ Reinhold Bogner ที่ผลิตก้อน La Grange ออกมาได้หลากหลาย และแทบจะไม่มีข้อเสียงใดๆ เลย ไม่ว่าคุณจะเล่นดนตรีสไตล์ไหนก็ตาม ผมเชื่อว่า La Grange จะเอาอยู่ครับ

Medium Gain Setting


Hi-Gain Setting

*** สนใจติดต่อสอบถามได้กับทาง Pedals’ Park Music Playground 0870126969 / 0818131595 ตัวแทนจำหน่าย Bogner Amplifications อย่างถูกต้องและเป็นทางการ ***

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

LaBella : Criterion

หลังจากที่ทดลองสาย LaBella Strings รุ่น Vapor Shield ไปแล้ว มีความประทับใจกับสายแบรนด์นี้อย่างมาก เพราะผมไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินซื้อสายกีตาร์ราคาแพงๆ เพื่อที่จะได้คุณภาพที่พอๆ กันแล้ว (ฮา) ช่วงนี้ผมเลยสนใจสายกีตาร์แบรนด์นี้เป็นพิเศษ

และเมื่อสักอาทิตย์ที่แล้ว ผมเริ่มทดสอบสายกีตาร์อีกรุ่นจาก LaBella Strings ชื่อว่า Criterion ซึ่งเป็นรุ่น Standard ของทาง LaBella หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นรุ่นราคามิตรภาพของเขานั่นหละ ผมลองใช้รุ่นนี้เป็นเบอร์ 10-46 มาตรฐาน


LaBella : Criterion มากับซองไนโตเจนกันชื้น กัน Oxide เกาะ และก็เป็นสายที่ผลิตจากเหล็กผสมอัลลอยด์คุณภาพสูงในอัตราส่วนเท่าๆ กัน แต่ Criterion จะไม่ได้ผ่านการ Treated ใดๆ เหมือนรุ่น Vapor Shiled จึงทำให้ราคาลดลงมาเป็นราคาที่จับต้องได้ และเปลี่ยนได้บ่อยหน่อย ที่สำคัญชุด Criterion ยังมีสาย E เล็กแถมมาเพิ่มให้อีกเส้นเผื่อขาดอีกด้วย หลังจากแกะซองออกมายังรู้สึกว่าสายสดมาก เงาใสกริ๊ง ผมเปลี่ยนใส่บน PRS Modern Eagle และลองใช้บันทึกเสียง และเล่นซ้อมมือวันละประมาณ 1-2 ชั่วโมง มาจนถึงวันนี้ ก็น่าจะราวๆ 9-10 วันแล้ว รู้สึกว่าสีของสายหม่นลงเล็กน้อย แต่ยังคงความเงาอยู่บ้าง ยังคงไม่มีสนิม หรือ Oxide เกาะ ในเรื่องของผิวสัมผัสของสายก็เรียบลื่น ไม่มีความสากมือ เล่นง่าย แรงตึงสายดี หยุ่นเหนียวไม่แข็ง เด้งๆ ดีครับ

ด้านของเสียง Criterion ให้เสียงไปทางสดใส แต่ไม่แหลมคมบาดหู เสียงย่านเบส กลางมาครบ หลังจากใช้งานมาประมาณ 10 วัน ยังคงมีความสดใสอยู่มากครับ เสียงย่าน High Frequency ยังไม่เสียหายมากนัก (ตรงนี้คงแล้วแต่ความเค็มของเหงื่อ และความชื้นของมือแต่ละท่านด้วยนะครับ ใครมีมาก สายก็ไปไวกว่าหน่อย) ผมประเมินดูว่า Criterion น่าจะใช้งานได้เต็มที่ประมาณ 15-18 วัน ก็น่าจะเริ่มเข้าข่ายควรเปลี่ยน (ถ้าต้องการความสดของสาย) ซึ่งในความเห็นส่วนตัว ก็คุ้มค่ามากแล้วครับ สำหรับสายราคา 190 บาท อยากได้เพื่อนๆ ได้ลองกันครับ LaBella Strings : Criterion รุ่นนี้ ดีจริงๆ

ถ้าสนใจติดต่อสั่งซื้อ ติดตามไปที่เพจ www.facebook.com/labellathailand ตัวแทนจำหน่าย LaBella Strings ในประเทศไทยได้เลยครับ

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

LaBella : Vapor Shield

ไม่ได้เขียนอะไรในบล๊อกนี้มาร่วม 2 เดือน สัญญาว่าจะกลับมาเขียนให้ถี่ขึ้นเหมือนช่วงแรกๆ แล้วครับ (แฮ่) วันนี้ผมว่าจะเขียนถึงสายกีตาร์กันบ้าง ปรกติเราก็ใช้สายกีตาร์กันอยู่ไม่กี่ยี่ห้อหรอก ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่ในความเป็นจริง ตลาดสายกีตาร์ของทางเมืองนอกเมืองนาเค้ามีการแข่งขันที่สูงมากๆ มีสายดีๆ ให้เลือกใช้กันหลากหลายจริงๆ 


เที่ยวนี้ผมได้ลองสายชื่อว่า LaBella Strings เป็นสายที่มีผลิตโดยครอบครัวเล็กๆ ในอเมริกา เค้าเองก็พยายามไม่ขยายโรงงานให้ใหญ่โตเพื่อที่จะควบคุมคุณภาพให้มันดีได้มาตรฐานอยู่เสมอๆ ผมเองเคยใช้ LaBella มาบ้างแล้วบางรุ่นเช่น HRS Series และ Roller Wound Series คราวนี้ทาง LaBella ออกรุ่นใหม่มาลุยตลาดสายเคลือบ โดยใช้สโลแกนว่า "Stop Flaking It" ซึ่งแรงมาก กะเอาไว้ตีสายเคลือบที่ใช้เทคโนโลยี่เก่าแบบใช้ฟิล์มเคลือบ เพราะสายประเภทนั้นจะลอกเป็นขุยๆ เป็นที่น่ารำคาฐ เวลาเล่นไประยะหนึ่ง ซึ่ง LaBella ก็บอกเลยว่าของเค้าไม่มีอาการ Flake แน่นอน รุ่นนี้เรียกว่า "Vapor Shield"

ผมไปเสาะหาข้อมูลมาพบว่า "Vapor Shield" นี้ ทาง LaBella นั้นจ้างบริษัทที่ชื่อ Acoustic Science ทำให้ครับ บริษัทนี้ก็เป็นบริษัทผลิตสายกีตาร์เอง และคิดเทคโนโลยี่การ Treated สายแบบลึกถึงระดับโมเลกุล โดยทาง ACS ทำการปรับดัดแปลงผิวเคลือบของเนื้อเหล็กในระดับโมเลกุล (Surface Modification) ใช้วิธีนำสายผลิตใหม่เข้าไปสู้ระบบ Plasma และดึงเอาอากาศออกให้เป็นสุญญากาศ และนำเอาสารที่ใช้ดันแปลงโมเลกุลปล่อยเข้าไปให้ผิวเหล็กปรับสภาพผลที่ได้คือ ผิวของเนื้อสายจะถูกปรับให้ทนทานต่อการสัมผัสของมือ น้ำ น้ำมันและสิ่งอื่นๆ เช่นควันบุหรี่ เหงื่อต่างๆ ผลที่ได้คือการที่สายทนทาน นานกว่าเดิมอีกไม่น้อยกว่า 3-5 เท่า และที่ทำคัญ การ Treated ลักษณะนี้ ไม่มีการใช้ฟิล์ม หรือสารใดๆ มาเคลือบ เพราะฉะนั้นแล้วการลอกเป็นขุย (Flake) หรือเสียงเปลี่ยนไปในทางผิดธรรมชาติก็จะไม่เกิดขึ้น


ผมทดสอบ Labella Vapor Shield เบอร์ 10-46 กับกีตาร์ Gibson SG R61 มาเป็นเวลาราวๆ 5 สัปดาห์ โดยเล่นวันละ 1 ชั่วโมงทุกๆ วัน ผลที่ได้คือ ทางด้านสรีระของสายนั้นจะคงความเงางามเป็นสายใหม่ๆ อยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ และจะค่อยๆ หมองลงนิดหน่อย แต่ไม่มีอาการดำ ไม่เป็นขุย จนถึงสัปดาห์ที่ 5 นี้ก็ยังคงสภาพแบบนั้น ไม่มีสนิมแม้แต่จุดเดียว สายคงสภาพดีมาก / ในด้านเสียงจากสัปดาห์แรกที่เล่น ผมไม่พบว่าเสียงจะมีความแหลมคมขึ้นหรือหม่นๆ ในแบบที่สายเคลือบปรกติเค้าเป็นกัน เสียงที่ได้จะฟังบาลานซ์ดีมาก ชัดเป็นเม็ด โลว์นุ่มนวล สายล่างๆ ใสแต่ไม่แหลมคม หลังจากผ่านสัปดาห์ที่ 2-3 ย่านเสียงแหลมมีหายไปนิดหน่อย และคงสภาพนั้นมาถึงสัปดาห์ที่ 5 นี้ครับ / ในด้านผิวสัมผัส ผมไม่พบความประหลาดเท่าไหร่ สายนิ่มมือดีความตึงสายพอดีๆ ไม่หนัก ไม่เบา ดันสายสบายๆ ไม่ต้องบู๊ออกแรงมากนัก เรียกว่าทุกอย่างพอดีๆ สวยๆ ในแบบที่ควรจะเป็นครับ

ผมสนุกกับการใช้สาย LaBella รุ่น Vapor Shield มาก เนื่องด้วยเสียงและผิวสัมผัสเป็นไปตามต้องการ และก็ไม่ต้องเปลี่ยนสายบ่อยๆ เลย ทำให้ไม่ต้องเสียอารมณ์ถ้าต้องการเล่นกีตาร์ที่เก็บใส่กล่องไว้นานๆ เมื่อเอาออกมาเล่นใหม่ ก็ยังคงสดและเล่นได้ยาวนาน เข้าใจว่าผู้นำเข้าทำราคาไว้เพียงชุดละ 440 บาทเท่านั้น การจัดเก็บก็โปรฯ มาก มากับกล่องเหล็กสวยงามและซองสุญญากาศ ลองดูแล้วคุณจะชอบครับ

สนใจลองติดต่อไปที่: www.facebook.com/labellathailand ดูครับ

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Kiesel Guitars : SCB6

ก่อนจะปิดปี 2015 ผมมีบทความสุดท้ายของปีนี้มาฝาก เป็นการทดสอบกีตาร์ที่เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่กลับมาเกิดใหม่ได้อย่างสวยงาม ชื่อว่า Kiesel Guitars ในสมัยก่อนอาจจะคุ้นกันในชื่อ Carvin Guitars แต่การกลับมาใช้ชื่อ Kiesel และมีดีไซน์กีตาร์รุ่นใหม่ๆ ออกมาหลากหลายรุ่น ก็ทำให้แบรนด์นี้กลับมายืนเด่นเป็นสง่าอีกครั้งในตลาด 

วันนี้ผมได้รุ่นที่ชื่อว่า SCB6 มาทดสอบครับ SCB เป็นกีตาร์ทรง Single Cut และเป็น Flat-Top จะว่าไปมันก็มีส่วนผสมในแบบ Les Paul และ Telecaster อย่างละนิดละหน่อย ตัวที่ผมได้จับทดสอบนั้นมีสเปกค์ไม่ธรรมดาทีเดียว คือ Black Limba Body / Spalted Maple Top ทำสี Moss Green / คอเป็น Maple Neck Thru Body และที่เด็ดคือ Ebony Fingerboard 


มาว่ากันถึงเสียง ผมทดสอบ Kiesel SCB6 กับแอมป์ Bogner ATMA และ ATMA Cab 1x12 ไม่มี FX ใดๆ ทั้งสิ้น เสียงคลีนฟังดูหนาใหญ่นุ่มนวลในตำแหน่งเนค และแก๊กสองฟังโปร่งมาก สามารถเล่น Strumming แทนกีตาร์โปร่งได้เลย แก๊กกลางไปจนถึงตำแหน่งบริดจ์ฟังแข็งเล็กน้อย จริงๆ ถ้าทำการปรับตั้งระยะความสูงต่ำของปิ๊กอัพ น่าจะนุ่มนวลขึ้นอีกมากครับ พอมาเล่นเสียงแตกแล้วกลับชอบมาก บาลานซ์ทั้งหกสาย ทำได้ดี เสียงไดร์ฟจากปิ๊กอัพบริดจ์ฟัง Cut Through และฟังแน่น และกระชับ สายร๊อคน่าจะหลงรักได้ไม่ยากเลย 

อยากให้ไปลองกันสำหรับ Kiesel Guitars รุ่น SCB6 เป็นกีตาร์ที่คนชอบสไตล์ LP หรือ Tele น่าจะนิยม ราคาไม่สูงเกินไปเอื้อมกันสบายๆ ไม่ต้องขายตับ ขายไตกัน แถมได้งานแบบ Custom Shop อีกต่างหาก ส่วนตัวผมสั่งไปแล้วหนึ่งตัวครับ ;)


วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Carvin Guitars : BOLT-V

ว่ากันถึงกีตาร์ที่คุณภาพเยี่ยม แต่ไม่ค่อยดังในบ้านเรา (ที่จริงช่วง 20 ปีก่อน นี่ก็ดังเหมือนกัน) ชื่อ Carvin Guitars นี่เป็นตัวแรกที่ผมนึกถึงเลย ผมยังจำได้ว่าสมัยก่อนดูโลกดนตรี ยังเห็นวง Nuvo ใช้อยู่ แต่ว่าในบ้านเรา Carvin Guitars ก็ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ อาจจะด้วยราคายังสูงอยู่ วันนี้ผมได้รับกีตาร์ Carvin มาทดสอบ 1 ตัว เป็นรุ่นที่เรียกว่าราคาถูกที่สุด คือมีเงินในกระเป๋า 37,000 บาท ก็เป็นเจ้าของได้แล้ว 

ตัวที่จะลองกันนี่เรียกว่ารุ่น Carvin : Bolt-V คือเป็นกีตาร์หน้าตาไปแนวๆ Stratocaster และติด Vintage Tremolo มา สีแดงสวยงามเลย ราคารุ่นนี้คือ 39,000 บาทพร้อม Carvin Gig Bag ดูหนาแน่นและแข็งแรงดี Spec ของกีตาร์คือ :

- บอดี้ : Premium Alder
- คอ : Hardrock Maple / Rosewood Fretboad / Tung Oil Finished
- ส่วนต่อคอ CNC ทำให้พอดีเป๊ะ 100% เพื่อเพิ่ม Sustain
- Carvin Pickups ทั้ง 3 Single Coils และ Humbucker 

ที่ชอบใจคือทั้งหมด ทั้งหลายในราคานี้ ไม่ได้ผลิต Overseas นะครับ ทั้งหมดนี่ทำสำเร็จในโรงงานของ Carvin ที่ San Diego, USA ตรงนี้ต้องให้เครดิต Carvin Guitars ที่กล้าๆ เปิดราคาที่น่าสนใจมากๆ

มาทดสอบ Bolt-V กันครับ ผมใช้แอมป์ Komet : Concorde ไปออกลำโพงของ TopHat 2x12 ดอก Alnico Blue/Alnico Gold โดยใช้ Delay/Reverb จาก Zoom MS70-CDR และ Distortion ของ Pete Cornish : G2 มาว่ากันถึงเสียงคลีนก่อน เจ้า Bolt-V ตัวนี้ติด Carvin Ceramic Pickups มา ก็จะรู้สึกได้ว่ามันจะฟังกระด้างเล็กๆ ครับ (ถ้าไม่ชอบแนวนี้ ตอนสั่งให้ทางโรงงานติดเป็น Alnico มาได้ ไม่ผิดกติกาครับ) แต่แลกมากับเสียงที่พุ่งคมชัดดีทีเดียว และมีเสียงที่เป็นจุดเด่นของกีตาร์ที่ประกอบแบบ Bolt-On คือเสียง Twang ก็มาครบถ้วน พอเปิดเล่นกับ Distortion แล้ว รู้สึกว่าเป็นที่น่าพอใจมากครับ Humbucker เสียงดุ พุ่ง เล่นสนุกมือ และ Single Coils ก็อ้วนหนาใหญ่ดี เรียกว่าเป็นกีตาร์เล่นได้กว้างเลยหล่ะ งานผลิตก็ดูเนี๊ยบได้มาตรฐาน เหมาะสำหรับทุกมือ ไม่ว่าจะมือใหม่ หรือจะเล่นอาชีพแล้ว ก็ใช้งานได้ อยากให้เพื่อนๆ มาลองกันครับ

VDO Clip : Carvin Guitars : Bolt-V

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ทดสอบ 4 Dirt Boxes

ไม่ได้เขียนซะนาน ยอมรับเลยว่าไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจในการเขียนเลยครับ ไม่มีของใหม่ๆ เล่น (ฮา) วันก่อนนี้ผมจัดบอร์ดเวอร์ชั่นใหม่ นำเอาของที่ไม่ค่อยได้ใช้งานมาจัด เพราะว่าปลายๆ ปี ผมจะมีเล่นดนตรี (ปีละ 2 ครั้งถ้วน) แนวทางการจัดบอร์ดของผมเองนี่จะขึ้นกับแนวเพลงหรือเซ็ตเพลงที่จะเล่นด้วยครับ เพราะงั้นในแต่ละครั้งก็จะแตกต่างกันไป เที่ยวนี้ผมเอาเสียงแตก 4 ก้อน 4 สไตล์มาลงบอร์ดไว้ ก็ด้วยมีเพลงที่ต้องใช้เสียงหลากหลาย ตามไปฟังเสียงกันครับ